บท
ตั้งค่า

บทที่๘...ปัญหาไม่จบ (๒)

กลับมาทำงานก็เรียกเลขาคนสนิทเข้ามารับงานอย่างรวดเร็ว เขาต้องการรู้ว่านกที่บินหนีออกจากกรงขังตอนนี้กำลังโบยบินไปที่หนแห่งใด ไม่ว่าอรลภัสญาจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ต้องเอาตัวเธอกลับมาให้จงได้

ยื่นโทรศัพท์ของวิมาลาให้แก่คนตรงหน้าเผื่อมีข้อมูลในการติดต่อ เพราะหญิงสาวไม่เปิดปากบอกข้อมูลอะไรสักอย่าง เขาจึงไม่รู้ว่าคู่หมั้นของตนอยู่ไหน แล้วไปกับใครไม่มีทางที่จะอยู่ตัวคนเดียวเด็ดขาด เชื่อว่าต้องมีคนช่วยข้างกาย

“ตามหาที่อยู่ของผู้หญิงที่ชื่อวิมาลา ขันฤดี ไม่ว่าอยู่ประเทศไหนก็ต้องตามตัวให้เจอ แล้วพากลับมาที่ไทยทันที” หล่อนอยู่ต่างประเทศในชื่อของผู้อื่น เขาน่าจะเอะใจแล้วควบคุมบัญชีการเงินของคู่หมั้นตั้งแต่แรก

ไม่น่าชะล่าใจคิดว่าอย่างไรกลับมาไทยก็ต้องได้แต่งงานกัน ใครจะรู้ว่าหญิงสาวคิดซ้อนแผนจนตนถูกต้มซะเปื่อย นึกแล้วก็ได้แต่หงุดหงิดหัวใจ

“ครับ” น้อมศีรษะเป็นการรับคำ หยิบเครื่องมือสื่อสารมาถือไว้แล้วหมายจะเดินออกจากห้อง แต่กลับถูกรั้งเอาไว้ จึงได้หันมารอรับคำสั่ง

“เดี๋ยวก่อน”

“ปิดเรื่องนี้เป็นความลับห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้ ถ้าข่าวหลุดลอดออกไปได้...นายเตรียมตัวหางานใหม่ทำได้เลย” เพราะเป็นเรื่องใหญ่จึงไม่อยากให้คนอื่นทราบ กลัวว่าชื่อเสียงของตัวเองจะเสียหาย ต้องทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด กระทั่งบุพการีของอรลภัสญาก็ไม่ควรรู้

สายตาจริงจังของเจ้านายทำให้เขาทราบทันทีว่าหากเรื่องแดงออกไป ตนจะต้องลำบากมากแค่ไหน จึงรับคำเป็นมั่นเหมาะ

“รับทราบครับ” พูดจบก็รีบเดินออกจากห้องเพื่อทำตามคำสั่ง ปล่อยร่างสูงพรูลมหายใจเสียงหนัก หงุดหงิดจนไม่อาจทานทนไหว

“บ้าเอ๊ย! นอนกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาตั้งหลายเดือน” ทุบโต๊ะเสียงดังแล้วคิดจะปัดของทุกอย่างที่ขวางหน้าลงกับพื้น แต่มือก็ค้างไว้เช่นนั้นไม่กล้าทำอะไร เพราะหากปัดทิ้งก็ต้องลำบากให้คนมาเก็บ เอกสารกว่าครึ่งตนยังไม่ได้เซ็นด้วยซ้ำ

ยกมือกุมหน้าผากเมื่อคิดถึงการร่วมรักนับครั้งไม่ถ้วนที่ทำกับวิมาลา สัมผัสวาบหวามเติมเต็มส่วนที่ขาด คิดว่าตัวเองจะมีความสุขเมื่อได้ใช้ชีวิตกับผู้หญิงที่หน้าละม้ายนางในดวงใจ แต่ทุกอย่างก็พังลงไม่เป็นท่า

ยิ่งคิดก็นึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม กดโทรศัพท์หาผู้ช่วยเลขานุการอีกคนที่ช่วยเรื่องจิปาถะของเขา

“คุณวดี นัดหมอตรวจร่างกายให้ผมหน่อย ขอพรุ่งนี้เช้า...นัดที่ไม่สำคัญเลื่อนออกไปหรือไม่ก็หาคนไปแทน”

ต้องตรวจร่างกายให้แน่ใจว่าตนจะไม่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดูแลรักษาตัวมาอย่างดี จะให้เจ็บป่วยมีโรคเพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เด็ดขาด

งานของเขาหนักเกินกว่าจะไปกลับ จึงเลือกนอนอยู่เพนส์เฮ้าส์ใกล้บริษัทแล้วมาทำงานเช้าตรู่ โครงการที่เพิ่งริเริ่มมีปัญหาจนเขาต้องจัดการดูแลเอง ไม่ได้กลับมาบ้านหลายวัน พอว่างจากงานจึงให้คนรถพากลับมาที่บ้านดำรงฤทธิ์

บ้านหลังใหญ่กลับเงียบสงัด เขาเผลอนึกย้อนถึงเวลาที่ภรรยาออกมาต้อนรับด้วยอ้อมกอดอบอุ่นไม่ได้ น่าเสียดายที่หล่อนไม่ใช่อรลภัสญาตัวจริง ความสุขของเขาจึงเป็นเพียงเรื่องจอมปลอมเช่นเดียวกัน ปิญชาน์พยายามลบล้างความทรงจำเหล่านั้น

เขาไม่มีทางมีความสุขเพราะผู้หญิงจอมปลอมคนนั้นเด็ดขาด

“เป็นยังไงบ้าง”

แม่บ้านเดินมารอรับเจ้านาย สิ่งที่เขาถามคำแรกคือเรื่องของวิมาลา คนฟังก้มหน้าลงไม่กล้าแสดงแววตาสงสารหญิงสาวที่ถูกขังในห้องสกปรก ทุกวันจะได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญโหยหวนจนทานทนแทบไม่ไหว สลับกับเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปิด

ทำได้เพียงนำอาหารไปวางไว้ที่หน้าต่างซึ่งมีกรงเหล็กครอบไว้ เธอจึงไม่อาจใช้ทางนี้เป็นทางหนีได้ หญิงสาวต้องนอนจมน้ำตาและกองอาเจียนที่แห้งไปแล้ว ไม่เว้นสัตว์เล็กที่วิ่งผ่านราวกับสนุกนักหนา

“เธอไม่ยอมกินอะไรเลยค่ะ เอาแต่ร้องไห้แล้วก็โวยวายทั้งวันบอกให้ปล่อย...”

หัวใจพวกตนแทบจะขาดรอน อยากเข้าไปช่วยแต่ก็เกรงว่าจะทำให้ปิญชาน์โกรธแล้วโดนไล่ออก ถึงได้พยายามเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แม้รู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิดแต่ก็ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน

“ไม่ต้องสนใจ ขังเอาไว้ห้ามปล่อยออกมาข้างนอกเด็ดขาด”

“ค่ะ” จำยอมรับคำอย่างเสียไม่ได้

ร่างสูงได้ยินอย่างนั้นก็หมายจะเดินไปดูหล่อน แต่แล้วแม่บ้านคนหนึ่งที่ค่อนข้างสนิทสนมกับวิมาลามากกว่าใครเพื่อน ก็ถามกลางปล้องด้วยความอยากรู้ว่าเหตุใดจึงต้องทรมานกันเช่นนี้

“คุณผู้ชายคะ...ถ้าเธอไม่ใช่คุณพริม แล้วคุณพริมตัวจริงอยู่ไหนคะ” ดวงตาคมตวัดมองคนถามอย่างไม่ชอบใจ เขาไม่ได้พูดอะไรเอาแต่จ้องนิ่งจนทุกคนที่ยืนอยู่ใกล้ไม่กล้าเอ่ย หัวหน้าแม่บ้านจึงรีบเข้ามาขอโทษเจ้านาย แล้วจูงกึ่งลากคนอายุน้อยออกไปจากที่ตรงนี้

ก่อนปิญชาน์จะโมโหแล้วโดนไล่ออกกันทั้งหมด เชื่อว่าชายหนุ่มทำได้อย่างแน่นอน

“ขอโทษค่ะ...เข้าครัว!”

เท้าหนักก้าวมาทางหลังบ้าน ก่อนจะหยุดหน้าประตูบานเก่าที่มีเสียงร้องตะโกนไม่หยุด ทั้งแหบแห้งและสั่นไหว เพียงแค่ฟังก็รู้ว่าเจ้าตัวอยู่ในสภาพเช่นใด นับวันเวลาแล้วเขาขังหล่อนในนั้นเกือบสามวัน ทว่าหญิงสาวไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นคลุ้งออกมาถึงข้างนอก

แต่ที่ทำให้เขาไม่ชอบใจคือคำแทนตัวและคำเรียกซึ่งหล่อนยังคงหลงละเมอเพ้อพก คิดว่าตัวเองเป็นอรลภัสญา

“อาชาน์! อาชาน์ปล่อย ปล่อยพริม...” เสียงทุบประตูแทบจะไม่ได้ยิน เธออ่อนแรงเป็นอย่างมาก เขาจึงตัดสินใจไขกุญแจก่อนจะเปิดห้องออก คนที่นั่งพิงประตูจึงล้มลงนอนกับพื้นอย่างหมดแรง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา

ปากอวบอิ่มยกยิ้มเหมือนพบความสุข...เธอผวาเตรียมโผเข้ากอดขาเขาแต่ร่างสูงก็รีบถอยห่างอย่างรวดเร็ว แล้วก้มมองวิมาลาด้วยแววตาสมเพช

“เธอคิดจริงๆ เหรอว่าตัวเองคือหนูพริม เลิกหลอกตัวเองแล้วกลับมาอยู่กับความเป็นจริงสักที! เธอไม่ใช่หนูพริมและฉันไม่มีวันรักผู้หญิงอย่างเธอ” ย้ำความจริงให้หล่อนทราบถึงข้อนี้ แต่หล่อนกลับไม่สนใจ รีบคลานออกจากห้อง ไม่มีกระทั่งแรงจะลุกยืนด้วยซ้ำ

สามวันที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่หิว แต่อาหารที่ได้มาไม่สามารถกินในห้องเหม็นอับได้ เธอจึงทำได้เพียงดื่มน้ำเปล่าแล้วอาเจียนอยู่อย่างนั้น ห้องน้ำที่อยู่ในห้องเก็บของเธอได้ใช้บ้างในบางครั้งแต่ก็ไม่มีน้ำราด จึงส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งจนแยกไม่ออกว่ามีกลิ่นใดบ้าง

“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ อย่าขังฉันไว้เลย” ยกมืออ้อนวอนให้เขาเห็นใจ ใบหน้าหวานมีรอยน้ำตาเด่นชัด เธอร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง ไม่คิดเลยว่าตนเองจะต้องถูกขังอย่างกับหมูกับหมาเช่นนี้

เขาไม่เหลือความรักให้กันบ้างหรือไร...

“อยากออกไปใช่ไหม...งั้นเธอก็บอกความจริงมาสิว่าหนูพริมอยู่ที่ไหน ฉันจะยอมปล่อยเธอออกไปจากห้องนี้” ข่าวที่ได้รับคือชื่อของวิมาลาอยู่ฟลอริดาจึงกำลังกระจายคนในพื้นที่เพื่อค้นหา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพบหรือเปล่า

แผ่นดินอเมริกากว้างใหญ่เหลือเกิน หวังเพียงให้ได้พบอรลภัสญาแล้วพาเธอกลับมาอยู่ในฐานะภรรยาของตน

“ไม่รู้ ฉันไม่รู้ว่าคุณพริมอยู่ที่ไหน เราแค่แยกกันตอนฉันกลับไทย” บอกหมดเปลือกเท่าที่ตัวเองจะทราบ เพราะหญิงสาวไม่ได้เล่าถึงแผนในอนาคต เพียงแค่เปลี่ยนตัวและเธอยอมให้อีกฝ่ายใช้ชื่อของตนเพื่ออาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ต่อไป

“หนูพริมอยู่กับใคร”

“ไม่รู้” ส่ายหน้าอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาจับคางมนให้เงยขึ้น เห็นถึงความโรยราจากดวงตากลมโต ทว่าปิญชาน์ก็ไม่ได้สนใจ เร่งรัดเอาคำตอบที่ต้องการทราบเพียงอย่างเดียว

“เธอต้องรู้!! เธอรู้ทุกอย่างแต่เธอไม่ยอมพูด คิดว่าฉันจะรู้ไม่ทันเธอหรือไง” บีบปลายคางมนจนเธอพยายามผละออก ทว่าเขาก็จับไว้แน่นเกินไปจนวิมาลาต้องแสดงถึงความจริงใจของตัวเองด้วยการเล่นละครให้แนบเนียน

ตนก็ต้องซื่อสัตย์กับคนที่จ้างตัวเองเช่นเดียวกัน

“ฉันไม่รู้จริงๆ ค่ะ คุณพริมไม่ได้บอกอะไรฉัน...แค่ แค่ให้ฉันทำตัวเหมือนเธอทุกอย่าง”

“กล้ามากนะที่มาหลอกคนอย่างฉัน เธอกล้ามาก”

ผลักหญิงสาวให้ออกห่างแล้วลุกยืน ปัดมืออย่างนึกรังเกียจราวกับเพิ่งจับของสกปรก หล่อนทำได้แค่ยกมือไหว้เขาอยู่อย่างนั้น พลางพร่ำบอกขอโทษหวังให้ร่างสูงเห็นใจ

“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันขอโทษ”

เอื้อมมาจับขาของเขาแต่ปิญชาน์กลับรีบสะบัดขาแล้วถอยห่าง บอกเสียงกร้าวอย่างนึกรังเกียจคนที่นั่งจนคล้ายจะนอนอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง

“อย่ามาจับ! ฉันรังเกียจเธอ ผู้หญิงที่เกิดจากโคลนตม...กล้าดียังไงถึงดึงฉันลงไปเกลือกกลั้วด้วย”

คนฟังเจ็บลึกไปถึงทรวง ร้องไห้อย่างเสียใจที่เขาทำท่าทีรังเกียจ น้อยเนื้อต่ำใจกับชะตาชีวิตของตัวเอง แม้แต่จะจับคนเป็นสามีเขายังไม่อนุญาต...

“ฮึก ฉันขอโทษ...”

“ปล่อยฉันไปเถอะนะ อย่าขังฉันไว้ในนี้เลย ขอร้องล่ะค่ะคุณปิญชาน์ ฉันไม่อยากอยู่ในนี้แล้ว ไม่เอาแล้ว”

ส่ายหน้าไม่ยินยอมจะเข้าไปในนั้นอีก เธอยอมให้เขาดูถูกและตราหน้าดีกว่าเข้าไปทนดมกลิ่นเหม็นอับ หรืออาศัยกับหนูและแมลงสาบที่น่ารังเกียจเหล่านั้น

“บอกแล้วไงว่าฉันจะยอมปล่อยถ้าเธอบอกว่าหนูพริมอยู่ไหน แต่ถ้ายังปากแข็งไม่ยอมบอกก็อยู่ในห้องนี้ต่อไป!”

เลือกกักขังเธอเอาไว้เช่นเดิม แม้วิมาลาจะอ้อนวอนกรีดร้องหนักแค่ไหน ก็ถูกนำตัวเข้าไปในห้องเก็บของแล้วลงกลอนอีกครั้ง

“ไม่! ปล่อย ปล่อยฉัน!!”

เธอกรีดร้องเสียงดังแล้วทุบประตูอยู่อย่างนั้น...จนอ่อนแรงและสลบไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel