บทที่๒...งานแต่งของเรา (๒)
“อาบอกแล้วไง...ว่าอารอนานเกินไปแล้ว อาจะไม่รออีก” มือหนาเอื้อไปด้านหลังแล้วรูดซิปออกให้หล่อน จากนั้นจึงค่อยปลดแขนเสื้อออกจากไหล่บาง
“อาช่วยถอดชุดนะคะ” ประโยคแสนธรรมดาที่เขาเอ่ย กลับจั๊กจี้หัวใจคนฟังเป็นอย่างมาก เธอยืนนิ่งให้เขาถอดชุดเจ้าสาวออก เหลือเพียงเดรสซับในสีเนื้อที่สวมคลุมกาย
“หนูพริมไปอาบน้ำแล้วสวมชุดที่อาแขวนไว้ให้นะคะ อาจะรอบนเตียง” ก่อนที่ตนจะทำอะไรไปมากกว่านี้ กลับเลือกหยุดยั้งความต้องการที่สะสมไว้หลายปี โดยการบอกให้เธอเข้าไปอาบน้ำชำระกาย
หล่อนได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าแล้วเข้าห้องน้ำทันที ไม่นึกสงสัยว่าชุดนอนที่เขาเลือกเป็นแบบไหน
ส่วนร่างสูงก็เดินออกไปอาบน้ำอีกห้อง แล้วกลับมานั่งรอภรรยาที่เตียงกว้าง เลือกหยิบกลีบดอกไม้มาดมกลิ่นหอม แต้มยิ้มที่มุมปากยามจินตนาการถึงร่างแบบบางที่ล้มตัวลงบนเตียงแล้วตนขึ้นไปทาบทับ
หล่อนคิดหรือว่าเขาจะปล่อยให้เธอนอนหลับโดยง่าย แม้จะเหนื่อยจากงานแต่งมากแค่ไหน ก็ต้องดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในคืนแต่งงานเสียก่อน
“หนูพริมสวยเหลือเกิน” เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก คนที่นั่งบนเตียงซึ่งสวมเพียงกางเกงผ้านิ่มขายาวเหลียวกลับไปมองภรรยา พบเธออยู่ในชุดนอนสายเดี่ยวผ้าซาตินตัวสั้นที่ปิดต้นขาเพียงเล็กน้อย จนเกือบจะเห็นของสงวนที่เธอพยายามกุมมือปกปิดเอาไว้
สิ่งที่เด่นล่อตาล่อใจเขาคือทรวงอกอวบอิ่ม ไม่คิดว่าเธอจะซ่อนรูปขนาดนี้ มองภายนอกแทบไม่รู้เลยว่าคนตัวเล็กจะมีทรวงอกอวบอิ่มน่าขย้ำ จนไม่อาจอดทนไหวอีกต่อไป
เดินเข้าไปอุ้มเธอมาวางบนเตียงกว้าง ขึ้นคร่อมบนร่างแบบบางแล้วจุมพิตที่ริมฝีปากสีเชอร์รี่ กวาดต้อนปากหยักด้วยลิ้นจนเปียกชื้น ดูดกลืนปากกระจับอย่างหื่นกระหายเพราะไม่เคยล่วงเกินเธอเลยสักครั้ง
เขาไม่เคยใช้ผู้หญิงคนไหนเพื่อปลดปล่อยความต้องการ กักเก็บเอาไว้เพื่อใช้กับภรรยาเพียงผู้เดียว วันนี้มาถึงจึงไม่อาจอ่อนโยนได้อย่างที่ใจคิด
ปากจิ้มลิ้มบวมเจ่อจากการถูกดูดดึง แทรกลิ้นเข้าไปกวาดความหวานในโพรงปากอุ่น เกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกับลิ้นสีอ่อนจนพึงพอใจ ค่อยเลื่อนลงมาแตะที่ลำคอระหง
ผละออกเล็กน้อยแล้วใช้มือประคองดอกบัวคู่งามผ่านผ้าซาตินสีทองที่คอเสื้อปักด้วยผ้าลายลูกไม้ จากนั้นจึงดึงสายเดี่ยวทั้งสองข้างลงมาที่แขนเรียว คอเสื้อจึงร่นมากองอยู่ฐานอก
ดวงตาคมจดจ้องดอกบัวคู่งามตรงหน้าด้วยแววตาหื่นกระหาย ขณะที่หล่อนพยายามใช้มือสองข้างปกปิดทรวงอกเอาไว้ อับอายที่ยอดถันกลับชูชันขึ้นจนปิญชาน์อดใจไม่ไหว ก้มลงมาครอบครองยอดสีเข้ม โดยใช้มือบีบให้มันใหญ่ขึ้นพลางก้มลงชิมความหวานไม่ห่าง
ไร้ซึ่งบทสนทนาที่เอ่ยต่อกัน มีเพียงเสียงครวญครางในลำคอ ทั้งที่วิมาลาพยายามเม้มปากแน่น ไม่กล้ากระทั่งจะลืมตามองเขาด้วยซ้ำ เอาแต่แตะที่ไหล่แกร่งแล้วส่งเสียงฮึมฮำ
เมื่อชิมความหวานของดอกบัวคู่งามจนพึงพอใจ จึงค่อยเลื่อนชุดนอนตัวบางที่กองอยู่ฐานอกลงมาข้างล่าง พร้อมใบหน้าคมที่เลื่อนมายังแอ่งสะดือ ใช้ลิ้นหมุนวนอยู่อย่างนั้นหลายนาทีจนเธอพยายามหนีบขาเอาไว้และจิกปลายเท้าด้วยความเสียวกระสัน
“อ่า” เปล่งเสียงครางยามที่จมูกโด่งเลื่อนลงไปสูดดมกลิ่นหอมของกายสาวส่วนล่าง หล่อนไม่ได้สวมกางเกงชั้นในเพราะหาไม่เจอ ทั้งตัวจึงเปลือยเปล่าเมื่อชุดนอนถูกลากไปกองไว้ที่ปลายเท้า ก่อนจะหลุดออกไปยามที่หล่อนชันเข่าขึ้น โดยมือหนาค่อยแยกขาเรียวออกห่างกัน
“อาชาน์ อย่า อย่าค่ะ มันสกปรก” พยายามห้ามเขาเมื่อลิ้นหนาล่วงเข้ามาในกลีบสีอ่อน ละเลงเพื่อฟังเสียงร้องที่ออกจากปากหวาน ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะครางได้เร้าอารมณ์เช่นนี้
จนเขาต้องเพิ่มความเร็วของลิ้น แล้วค่อยใช้มือข้างซ้ายเลื่อนมาบีบทรวงอกทั้งสองข้างสลับกัน จนขึ้นเป็นรอยแดงแล้วขยี้ปลายยอดแล้วค่อยผละห่าง
“หวานเหลือเกิน หนูพริมของอา” เงยหน้าแล้วบอกเธอ เขาลุกนั่งระหว่างกายแบบบาง เปลี่ยนจากลิ้นเป็นการใช้นิ้วแหย่เข้าไปในกายสาว
เริ่มจากหนึ่งนิ้วแล้วเพิ่มเป็นสองค่อยจบที่สาม สร้างความเสียวกระสันแก่คนที่ไม่เคยมีชายใดแตะต้อง เธอแอ่นกายเข้าหาเขาตามสัญชาตญาณ เด้งสะโพกรับกับการเคลื่อนไหวของนิ้วทั้งสามที่เคลื่อนไหวเร็วราวพายุ
“อ่าๆๆ อาชาน์ อาชาน์ขา” เสียงหวานเอ่ยอ้อนพร้อมแววตาหวาน ไฟเสน่หาลุกโชนในดวงตาของหล่อน เริ่มสนุกกับความแปลกใหม่ที่เขามอบให้ตัวเอง
ชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มกว้างมีความสุข เขาคิดว่าคืนนี้จะล่ม แต่ไม่น่าเชื่อว่าครั้งแรกของเราจะดีกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก จนอยากสร้างความประทับใจให้หล่อนมากกว่านี้
ไม่รอช้ารีบเปลี่ยนจากนิ้วมือเป็นแท่งอุ่นที่ขยายขนาดจนพองใหญ่ หญิงสาวที่หลับตาถึงกับสะดุ้งแล้วเบิกตากว้างกับความแข็งแกร่งที่สอดแทรกเขามาในกาย
“เจ็บ เจ็บค่ะ” บอกเสียงสั่นเครือ จนเขาต้องหยุดครู่หนึ่ง แล้วโน้มใบหน้ามาเลียที่ทรวงอกหยุ่นเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ และดูเหมือนว่าจะได้ผล
เธอครางเสียงแผ่วข้างหูเขา มือเรียวยกมาลูบไล้ที่แขนล้ำ กัดริมฝีปากด้วยความเสียวกระสัน จนกระทั่งครอบครองกายสาวได้ทั้งหมด เขาจึงหยัดกายนั่ง พลางจับเอวคอดเอาไว้ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงกระทบของเนื้อที่ดังไปทั่วห้อง
ราวกับว่ากำลังควบม้าพยศที่ตนปราบจนอยู่หมัด ส่วนเธอทำได้เพียงนอนตัวสั่นไหวอยู่บนเตียง ครางรับเสียงสั่นแล้วแอ่นอกที่เด้งไปมาหมายให้เขาจับ
วิมาลาลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง หล่อนมัวเมาไปกับเซ็กส์ที่เขามอบให้ หลงมัวเมาในกามารมณ์จนเผลอโต้ตอบตามความต้องการ
ปิญชาน์ช้อนมือไปที่แผ่นหลังบาง ดันเธอให้ลุกนั่งบนตักขณะที่ร่างกายยังเชื่อมกันไว้ จดจ้องดอกบัวคู่งามที่อยู่ตรงหน้า แล้วใช้มือลูบไล้พลางบีบเคล้นอย่างมันมือ
“อาผ่าไฟแดงดีไหมคะ” ไม่ลืมหยอกเย้ากับเหตุผลที่เธอเอามาอ้าง จนหญิงสาวหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย
“คราวนี้หนูพริมทำให้อาหน่อยได้ไหม” เขาเหยียดขาตรงแล้วขยับสะโพกหล่อนให้เข้าใกล้มากกว่าเดิม พร้อมเอ่ยขอร้องโดยที่หญิงสาวแสร้งทำไม่เข้าใจ
“พริมทำไม่เป็น” ไม่เข้าใจว่าเขาหมายความอย่างไร ชายหนุ่มจึงยกแขนเรียวให้โอบลำคอของตน แล้วเอนกายเพียงเล็กน้อยโดยใช้มือยันเบาะนุ่มเอาไว้ ให้เธอเป็นผู้ควบคุม
“ร่อนสะโพกแล้วขย่มอา” สอนหญิงสาวที่ไม่ประสา จนเธอเม้มปากแน่นด้วยความเขินอาย แต่กระนั้นความอยากรู้อยากลองหรือความต้องการส่วนลึกของจิตใจก็บอกให้เธอลอง
หญิงสาวจึงเริ่มขยับสะโพกตามที่เขาบอก โยกกายเข้าออกตามความต้องการของตัวเอง ขณะที่เริ่มกอดคอเขาแน่นขึ้นเมื่ออารมณ์พุ่งสูง
ดวงตาคมจ้องดวงอกที่จ่อหน้า รีบใช้ลิ้นเลียที่ปลายยอดแล้วดูดกลืนโดยเร็ว จากนั้นจึงผละออกแล้วผลักหญิงสาวลงบนเตียงอีกครั้ง ไม่ยอมให้เธอคุมเกมทั้งหมด
“เรียกอาว่าผัว” บังคับคนที่อยู่ใต้ร่างทันที ไม่รู้ทำไมยามที่อารมณ์ดำดิ่งสู่ราคะถึงอยากฟังคำนี้ที่ผุดขึ้นมาในหัว และต้องเป็นเสียงหวานของหล่อนเท่านั้นที่เอ่ย
“มะ ไม่” ส่ายศีรษะด้วยความละอาย แต่ลึกในใจก็อยากลองเช่นเดียวกัน เขาเห็นอย่างนั้นจึงเลือกจะเป็นคนเอ่ยก่อน เพื่อหล่อนจะได้พูดตามโดยไม่ขวยเขินมากนัก
“เมียของอา หนูพริมเป็นเมียอาแล้ว เมียจ๋า” แค่ได้ยินเขาเรียกหล่อนว่าเมีย ก็ทำให้หัวใจเต้นรัวจนเผลอสบดวงตาคมที่มีเพียงภาพของตน
หล่อนชั่งใจเพียงครู่เดียว แล้วค่อยเผยอปากระหว่างที่ร่างกายสั่นไหวไปตามแรงเคลื่อน
“ผัวขา ไม่ไหวแล้ว ผัวขา” เพียงแค่ได้ยินหล่อนเอ่ยเรียกเช่นนั้น เขาก็ใส่เต็มแรงไม่ยั้งเอาไว้ จนศีรษะมนสั่นคลอนพร้อมดอกบัวงามที่เด้งท้าทาย
พวกเขาต่างต้องการซึ่งกันและกัน ไม่นานสองร่างก็พบฝั่งฝันที่ใช้เวลาเดินทางมาแสนไกล ปลายทางความงามสุขสมอย่างที่คิดเอาไว้ มือหนาโอบกอดหล่อนเอาไว้ ดอมดมความหอมของดอกบัวคู่งาม แช่ค้างริมฝีปากที่ยอดถันแล้วดูดกลืนราวเด็กน้อย
ปากอวบอิ่มแต้มยิ้มเป็นเส้นโค้ง เธอรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็มด้วยความรัก
อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน…
“นี่อะไรคะอาชาน์”
ผ่านคืนแสนหวานของสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียว หล่อนได้เข้ามาอยู่ในบ้านดำรงฤทธิ์อย่างเป็นทางการ พร้อมตำแหน่งคุณผู้หญิงที่ถูกนับหน้าถือตา
เดินออกมาจากห้องแต่งตัวด้วยชุดเดรสสีหวานที่เขาเป็นคนเลือกให้ ชายหนุ่มมักแขวนเสื้อผ้าที่หล่อนต้องใส่ไว้ที่ราวด้านนอก หากตนไม่ใส่ก็จะโดนถามจนกว่าจะยอมทำตามความต้องการของเขา
จึงตัดปัญหาด้วยการใส่เสื้อผ้าที่ปิญชาน์ชอบ เพื่อจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน
ดวงตากลมมองเห็นการ์ดสีดำวางไว้ที่โต๊ะทำงานที่ใช้สำหรับอ่านเอกสารในบางคราว ซึ่งส่วนมากก็ไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่
“บัตรเครดิตไงคะ แบล็คการ์ดไม่จำกัดวงเงิน หนูพริมอยากรูดเท่าไหร่ อยากใช้เท่าไหร่ก็ได้” ร่างสูงเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ พร้อมยืนนิ่งโดยใช้สายตาเป็นการกดดัน
ทราบทันทีว่าเขาต้องการให้ตนผูกเนกไท จึงทำตามความประสงค์ของสามีโดยไม่บ่นสักคำ
ผ่านค่ำคืนที่เร่าร้อนไปแล้ว แต่เขาก็ยังหมั่นทำการบ้านกับหล่อนแทบทุกคืน ไม่น่าเชื่อว่าภายนอกที่ดูสุภาพอ่อนโยน ยามร่วมรักกันเขาจะชอบให้เธอเรียกว่าผัวทุกครั้ง และหญิงสาวก็ยอมทำตาม
เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งเร้าอารมณ์…
“มันมากไปนะคะ” พูดด้วยความกังวล หล่อนรู้ดีว่าปิญชาน์มีใจเสน่หาต่ออรลภัสญา จึงไม่แปลกที่จะให้บัตรไม่จำกัดวงเงิน แต่เธอไม่ใช่ตัวจริง
เป็นแค่ตัวปลอมที่สวมรอยเท่านั้น ไหนเลยจะอาจหาญใช้เงินของเขา
“ไม่มากไปสำหรับคุณผู้หญิงของบ้านดำรงฤทธิ์หรอกค่ะ มันคือสิ่งที่หนูพริมต้องได้อยู่แล้ว เอาไปใช้เลยนะคะ แล้วก็เรื่องงานที่เราเคยคุยกันไว้...” เธอตาลุกวาวเมื่อคิดว่าจะได้ไปทำงาน
หล่อนไม่ได้ต้องการทำงานหรอก แค่อยากหนีห่างจากดวงตาคมกริบที่เอาแต่จับจ้องตัวเอง หรือมีเวลาเป็นของตนที่ได้หายใจหายคอบ้าง
อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่ในความสนใจของใคร
“อาอยากให้หนูพริมอยู่บ้านสักสามสี่เดือน ค่อยไปเริ่มรับช่วงต่องานที่บริษัท ระหว่างนี้อาจะให้คนของอาไปดูในส่วนงานของหนูพริม ถึงวันที่เข้าไปทำจริงจะได้ง่าย” ความหวังดีที่ถูกส่งมาในรูปแบบของการบังคับ
เรียกว่าเผด็จการได้หรือเปล่าหล่อนก็เริ่มไม่แน่ใจ รู้ซึ้งถึงคำว่านกในกรงทองก็คราวนี้แหละ
“แต่ว่า...”
“ตกลงตามนี้นะคะ” เขาลูบศีรษะมนเมื่อเธอจัดการเนกไทให้สวยงาม ยิ้มมุมปากด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน จนเธอไม่กล้าเอ่ยคัดค้าน
จำต้องพยักหน้ารับ
“ค่ะ”
ชีวิตของหล่อนต่อจากนี้ คงเป็นได้แค่ลูกไก่ในกำมือของเขา ไม่อยากคิดเลยว่าหากวันหนึ่งปิญชาน์ทราบความจริง
ตนจะเป็นเช่นไร…