บทที่๒...งานแต่งของเรา (๑)
บทที่๒...งานแต่งของเรา
พิธีมงคลสมรสของสองตระกูลดังถูกจัดขึ้นในหนึ่งเดือนต่อมา ฝ่ายเจ้าบ่าวเตรียมการทุกอย่างไว้เสร็จสิ้น ดวงหน้าคมจึงยิ้มกว้างมีความสุขกับงานที่เป็นไปตามความต้องการของตนเอง
ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมชื่อดังจุคนได้มากกว่าห้าพันถูกแปรเปลี่ยนสภาพสถานที่จัดงานอันยิ่งใหญ่ ซึ่งออแกไนซ์เซอร์ถูกจ้างมากว่าห้าแห่งเพื่อเนรมิตรให้ห้องเปล่าเป็นดั่งเรื่องเล่าขานของคู่บ่าวสาว
ตั้งแต่แรกเจอจนกระทั่งได้ร่วมชีวิต…
อรลภัสญาเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของครอบครัวประมุขกรกันต์ เธอเติบโตมาด้วยความรักและเอาใจใส่ของพ่อแม่ เปรียบดั่งไข่ในหินจนกระทั่งอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ จึงได้พบกับเจ้าชายที่สวมชุดสีขาวเล่นเปียโนเพลงโปรดบนเวทีให้ได้ฟัง
ปิญชาน์คือแขกของบิดาที่เข้ามาร่วมธุรกิจ จากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้จัก สุดท้ายก็เป็นคุณอาที่เธอให้ความเคารพ จนหญิงสาวเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จึงได้หมั้นหมายกับเขาตามความเห็นสมควรของบุพการี
ไม่ว่าจะคัดค้านอย่างไร ก็ไม่เป็นผล…
เธอกลายเป็นเจ้าหญิงที่มีราชรถมาเกยรอรับตอนเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย ความสุภาพอ่อนโยนของคุณอาไม่ได้สร้างความประทับใจฉันท์ชู้สาว
เมื่อหล่อนมองเขาเป็นเพียงคุณอามาโดยตลอด แล้วจะให้แปรเปลี่ยนเป็นคนรักได้อย่างไร
“ยินดีด้วยนะครับคุณปิญชาน์” นักธุรกิจทั่วฟ้าเมืองไทยต่างได้รับการ์ดเชิญเพื่อมาร่วมงานมงคลสมรส
ช่วงเช้าจัดเป็นพิธีหมั้น จัดแบบส่วนตัวที่ห้องประชุมของโรงแรม มีญาติผู้ใหญ่และเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คน ส่วนช่วงเย็นเป็นการเฉลิมฉลอง เขาเชิญแขกกว่าสี่พันคนเพื่อมาร่วมยินดีกับการแต่งงานของตนครั้งนี้
ขณะที่เจ้าสาวไม่ได้ยินดียินร้าย เธอแค่ทำตามคำสั่งด้วยการสวมชุดเจ้าสาวสีขาวฟูฟ่อง โดยเขาใช้เวลาเลือกค่อนข้างนาน ต้องการให้ชุดเป็นแบบร่วมสมัย ภาพถ่ายที่ได้ออกมาจะต้องดูไม่เป็นปัจจุบันจนเกิดไป
คล้ายกับปิญชาน์ต้องการแต่งงานกับเจ้าสาวในอดีต…
“ขอบคุณครับ เชิญในงานได้เลยนะครับ” ร่วมถ่ายรูปหน้าแบล็คดรอปด้วยรอยยิ้ม
คนที่มีความสุขที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นพ่อแม่ของเจ้าสาวที่น้ำตาคลอตลอดเวลาเมื่อเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา กับชายที่สามารถฝาอนาคตไว้ได้
วิมาลาพยายามแสดงเป็นอรลภัสญาให้แนบเนียนที่สุด เธอเกร็งตั้งแต่เช้ากลัวว่าจะทักเพื่อนของหญิงสาวผิด จึงสงบปากสงบคำเอาไว้ แล้วยิ้มตอบเพียงอย่างเดียว
ภาวนาให้วันนี้ผ่านไปด้วยความราบรื่น
“น้องพริมหิวหรือเปล่า” ช่วงที่ไม่มีแขกก็หันมาถามเจ้าสาวด้วยความเป็นห่วง ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาพาหล่อนตระเวนกินอาหารจนน้ำหนักขึ้นมาสามกิโลกรัม มีน้ำมีนวลจนต้องขยายชุดแต่งงาน ซึ่งปิญชาน์พอใจเป็นอย่างมาก
ต้องการขุนให้เธออ้วนขึ้นกว่านี้ด้วยซ้ำ เขาคิดเอาไว้แล้วว่าจะพาภรรยาไปท่องเที่ยวทั่วโลกแล้วกินอาหารที่หลากหลายจนเธอลืมไม่ลง
แต่คงต้องเว้นไปสักสี่ห้าเดือน เพราะช่วงนี้งานของตนเยอะกว่าปกติ เพิ่งเทคโอเวอร์บริษัทขนส่งอีกแห่งหนึ่ง คงต้องปรับเปลี่ยนองค์กรยกใหญ่ ทั้งยังได้สัมปทานรถไฟฟ้าสายใหม่ที่ร่วมกับรัฐบาล
อาจไม่ค่อยมีเวลาให้ภรรยาสักเท่าไหร่ ซึ่งทำความเข้าใจกับเธอเรียบร้อยแล้ว น่าแปลกที่คราวนี้หล่อนว่านอนสอนง่าย ไม่มีอาการแง่งอนแต่อย่างใด
เขาจึงเบาใจไปได้มาก…
“ไม่ค่ะ พริมตื่นเต้นมากกว่า” มือบางเย็นเฉียบจนเขาต้องกอบกุมเอาไว้เพื่อให้กำลังใจ
ไม่คิดว่างานแต่งจะยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้ ห้องจัดเลี้ยงที่เข้ามาพื้นที่ใหญ่ราวกับโดม ไหนจะภาพที่นำมาตั้งโชว์ให้เห็นถึงความรักของคนทั้งสอง
ไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งตนจะได้สวมชุดเจ้าสาวสีขาว ยืนเคียงข้างเจ้าบ่าวสุดหล่อในงานแต่งของตัวเอง นึกว่ามันเป็นความฝัน แต่พอรับรู้ถึงความอบอุ่นยามกอบกุมมือหนาก็รู้ทันทีว่ามันคือความจริง
แต่น่าเสียดายที่ความจริงครั้งนี้ เธอเป็นได้แค่เพียงตัวแทนของใครคนหนึ่งเท่านั้น
“จับมืออาไว้นะคะ เผื่อช่วยลดความตื่นเต้นของน้องพริมลงได้บ้าง” แต้มยิ้มที่มุมปากระหว่างหันมาคุยกับเจ้าสาว เธอเผลอไผลจ้องเข้าไปในแววตาลึก ตกอยู่ในห้วงของความรักที่เขาสร้างขึ้น
แล้วค่อยตอบรับเสียงเบา กับอาการร้อนผ่าวที่แก้มนวล ไม่คิดว่าตนจะได้รับความรัก
“ค่ะอาชาน์”
แขกเหรื่อต่างเข้ามาแสดงควาามยินดีไม่ขาดสาย พวกเขาต่างยิ้มแย้มทักทายเป็นกันเอง หลายครั้งที่เจ้าบ่าวต้องคุยธุรกิจระหว่างถ่ายรูป แต่ก็ตัดบทได้อย่างลื่นไหลไม่ให้เสียมารยาท
จนกระทั่งเพื่อนสมัยเรียนของอรลภัสญาเดินเข้ามา เธอจึงรีบทักทายด้วยการยกมือขึ้นโบกไปมา พร้อมสวมกอดเพื่อนทั้งสามคนอย่างแนบเนียน
จดจำได้ทั้งหมดว่าอีกฝ่ายเป็นใครบ้าง จึงค่อนข้างมั่นใจพอสมควรในการทักทาย
“พริม ไม่เจอกันนานเป็นเจ้าสาวแล้วนะ” เพื่อนตัวสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเง้างอน แต่ก็พอจะทราบว่าอีกฝ่ายหมั้นกับชายรูปหล่อฐานะร่ำรวยมานาน
ตอนแรกคิดจะแต่งงานตั้งแต่ฝ่ายหญิงจบปริญญาตรี แต่เธอขอเรียนโทที่ต่างประเทศจึงต้องยอมอย่างจำใจ กระทั่งหล่อนกลับไทยถึงได้จัดงานที่ยิ่งใหญ่ เพื่อแสดงถึงความรักที่มีต่อหล่อน
หรือต้องการแสดงให้เห็นความร่ำรวยของตระกูลดำรงฤทธิ์กันแน่ เธอก็ไม่อาจทราบ
“อือ ถ่ายรูปด้วยกันสิ” รีบขยับให้คนที่เหลือเข้าร่วมเฟรม ระหว่างนั้นก็รอช่างภาพตั้งค่ากล้อง จึงใช้โอกาสนี้พูดคุยกับเจ้าสาว
“ฉันเกือบลืมเลย ยัยตาฝากของขวัญมาให้เธอด้วยนะ ถึงตัวมาไม่ได้แต่ไม่ลืมเธอแน่นอน”
“ฝากขอบคุณตาด้วย” รีบตอบกลับทันทีแล้วยิ้มกว้าง แต่คำเรียกที่ออกจากปากเธอกลับสร้างความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
“หือ...เธอเรียกยัยตาว่าตาเหรอ ปกติเห็นเรียกหวานใจตลอด” หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อได้ยินอย่างนั้น หล่อนไม่ทราบเรื่องเล็กน้อยแบบนี้มาก่อน เพราะอรลภัสญาไม่ได้บอก
แอบเหลือบมองเจ้าบ่าวที่ยังคงยิ้มกว้าง คิดว่าเขาอาจจะไม่ได้ยินบทสนทนาของตนกับเพื่อน จึงรีบโอบเอวคนข้างกายพร้อมชวนถ่ายรูปเมื่อช่างภาพให้สัญญาณความพร้อม
“อ่า ถ่ายรูปดีกว่า”
เกือบไปแล้วไหมล่ะ…
การเฉลิมฉลองเริ่มขึ้นพร้อมเสียงเพลงที่บรรเลงหวานและการปรากฏตัวของบ่าวสาว ทุกคนต่างปรบมือเกรียวกราวเป็นการต้อนรับตัวเอกของงาน
หน้าตาของทั้งสองสวยหล่อสมกันเป็นอย่างมาก ชาติตระกูลก็ดีทัดเทียม แม้อายุอาจห่างกันเยอะก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด แววตาของเจ้าบ่าวแสดงถึงความรักใคร่หลงใหลในตัวเจ้าสาวเสมอ
ปิญชาน์สูญเสียครอบครัวจากเหตุการณ์เครื่องบินตกตั้งแต่เขาอายุเพียง 12 ปี อยู่บ้านหลังใหญ่เพียงลำพังมาโดยตลอดกับแม่นมที่คอยเลี้ยงดู
จนได้คุณอาที่เข้ามาเติมเต็มความสุข พร้อมกับลูกสาวของท่านที่เปรียบเสมือนแรงใจให้เขาใช้ชีวิตในแต่ละวัน หล่อนกลายมาเป็นความสุขเพียงหนึ่งเดียวของเด็กชายไร้ที่พึ่ง
พัฒนาเป็นคนรักก่อนจากเขาไปตลอดกาล…
วันนี้คุณอาได้ทำหน้าที่ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชาย เป็นสักขีพยานรักให้หลาน แต่ก็อดคิดถึงบุตรสาวของตนไม่ได้
ถ้ารมย์นลินยังไม่ตาย คนที่เดินเคียงข้างปิญชาน์คงเป็นเธอ…
“ขอบคุณที่มานะครับ” งานฉลองเสร็จสิ้น บ่าวสาวจึงเดินไปทักทายแขกแต่ละโต๊ะ ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องทำหน้ายิ้มแย้มเอาไว้ตลอดเวลา
เป็นการแสดงที่ไม่มีวันจบจนกว่าม่านจะถูกปิด
“ขอบคุณค่ะ” เธอเดินตามเจ้าบ่าวไม่ห่าง พร้อมค้อมศีรษะให้นักธุรกิจบริษัทใหญ่ที่เคยเห็นผ่านโทรทัศน์ แต่วันนี้ได้เจอตัวจริงก็อดจ้องด้วยความชื่นชมไม่ได้
ต้องรีบตักตวงความสุขตรงนี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่เธอจะได้กลับไปเป็นวิมาลาเหมือนเดิม
“คุณชาน์ผมอยากถามเรื่องโปรเจคที่ทางเราเสนอไป...” นอกจากการมาแสดงความยินดี ยังถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ร่วมคุยถึงธุรกิจที่กำลังจะทำร่วมกัน
“ได้สิครับ” ซึ่งร่างสูงยินดีเป็นอย่างมาก ก่อนจะหันมามองเจ้าสาวของตัวเอง แล้วบอกด้วยความสงสารที่เธอต้องยืนขาแข็งฟังในสิ่งที่น่าเบื่อ
“หนูพริมไปหาเพื่อนได้นะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ พริมอยู่กับอาชาน์ดีกว่า” การไปหาเพื่อนเหมือนทำร้ายเธอทางอ้อม หากฝ่ายนั้นพูดเรื่องที่ตนไม่รู้ขึ้นมาก็แย่น่ะสิ อย่างน้อยอยู่ใกล้เขาก็ช่วยให้เธอไม่ปล่อยไก่เหมือนคราวที่ถ่ายภาพร่วมกัน
ต้องระวังให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว
ถึงเวลาเข้าหอพวกเขาก็นั่งรถหรูกลับมายังบ้านดำรงฤทธิ์ที่เธอมาบ่อยครั้งตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน จนแทบเป็นส่วนหนึ่งของบ้านนี้ไปแล้ว
ภายในห้องนอนใหญ่ของบ้าน กลายเป็นห้องหอที่เตียงกว้างถูกปูด้วยผ้าสีสว่าง มีกลีบกุหลาบโปรยเป็นรูปหัวใจเอาไว้ ทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องทำความหอม ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด
“แม่มีน้องพริมเป็นลูกคนเดียว ฝากคุณชาน์ดูแลน้องด้วยนะคะ แม่เชื่อว่าคุณชาน์จะไม่ทำให้ลูกสาวของแม่เสียใจ” สองหนุ่มสาวนั่งบนพื้น โดยมีบิดามารดาของหล่อนนั่งบนโซฟายาวปลายเตียง เพื่อให้โอวาทแก่คนทั้งสอง
คุณศยามลจ้องบุตรสาวของตนด้วยความรัก ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้อรลภัสญาจะออกเรือนแล้ว
“ผมจะดูแลน้องพริมอย่างดีครับ เธอจะเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของผม” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหนักแน่น พร้อมแววตามั่นคงที่ไม่เคยเปลี่ยน
ท่านทั้งสองจึงเชื่อเขาโดยไร้ซึ่งข้อกังขา…
“น้องพริม...เป็นภรรยาต้องเชื่อฟังสามี อย่าดื้อกับพี่เขา หนักนิดเบาหน่อยถ้าไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรก็ต้องรู้จักคำว่าอภัย” คุณปภพบอกลูกสาว ซึ่งหมายความว่าให้เธอเป็นช้างเท้าหลังที่ไม่มีปากเสียง ยกสามีเป็นใหญ่เหนือตนใช่หรือเปล่า
“ค่ะคุณพ่อ”
มือหนาค่อยเอื้อมมือกุมมือเธอเอาไว้ กลัวว่าหญิงสาวจะร้องไห้เมื่อต้องจากครอบครัวมาอยู่ที่นี่
“เราออกไปข้างนอกเถอะคุณ ให้สามีภรรยาอยู่ด้วยกัน” คุณศยามลเห็นอย่างนั้นก็รีบบอกสามีแล้วปล่อยให้สามีภรรยาอยู่ด้วยกันตามลำพัง
ตอนนี้จึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน อยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำ หญิงสาวที่สวมชุดเจ้าสาวแขนกุดจึงโอบกอดตัวเองเอาไว้ โดยที่ร่างหนาเดินไปถอดเสื้อนอกออก พร้อมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวจนร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า
หล่อนเห็นอย่างนั้นก็เบิกตากว้าง เริ่มคิดหนักกับสถานการณ์ของตัวเอง เป็นกังวลอย่างมากในการที่จะหลีกหนีจากการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ รู้ดีว่าชายหนุ่มคงรอมานาน
แต่เธอดันไม่ใช่คนที่เขาต้องการ…
“อาชาน์คะ” เรียกเสียงแผ่ว แต่ร่างหนาก็หันมามองพร้อมเลิกคิ้วเป็นคำถาม
“คะ”
“วัน วันนี้...พริมเป็นประจำเดือน พริมว่าเรา...” ข้ออ้างของหล่อนฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย เขาสำรวจดูแล้วว่าเธอไม่ได้นำผ้าอนามัยมาด้วย ยังไม่ได้ซื้อด้วยซ้ำ แล้วจะบอกว่าเป็นวันนั้นของเดือน
ตนคงไม่เชื่อ…
เขาให้เวลาเธอมานานเกินไปแล้ว ตนไม่ใช่คนใจดีที่จะยอมให้หญิงสาวผลัดวันประกันพรุ่ง ทั้งที่เราแต่งงานกัน ถือเป็นสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมายเพราะเพิ่งจบทะเบียนไปเมื่อเช้า
คืนนี้จึงต้องทำให้ครบกระบวน
หล่อนจะได้เป็นภรรยาของเขาทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย
“เราจะยังคงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ด้วยกันเหมือนเดิม อายอมผ่าไฟแดงในวันนี้เพราะอารอหนูพริมมานานแล้ว” เข้ามาโอบกอดร่างแบบบางเอาไว้ ไล่มือตามกรอบหน้าหวานแล้วจดจ้องที่ริมฝีปากอวบอิ่มครู่ใหญ่
“เป็นเมียอานะคะ” เสียงนุ่มทุ้มของสามี พร้อมคำขอที่สั่นคลอนหัวใจดวงน้อยจนไม่อาจหันหน้าหนีได้
เขาโน้มใบหน้าลงมาประทับที่ริมฝีปากอวบอิ่ม ค่อยแตะเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธอตื่นกลัว ทว่าหญิงสาวรีบถอยหลังออกห่าง เลือกตะโกนเสียงดังพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้หลงมัวเมาไปกับดวงตามีเสน่ห์คู่นั้น ที่สามารถทำให้ตนคล้อยตามโดยง่าย
“พรุ่งนี้! พรุ่งนี้ไม่ได้เหรอคะ วันนี้พริมยังไม่พร้อม” อ้อนวอนเขาด้วยแววตาเปี่ยมหวัง แต่ชายหนุ่มก็เลือกจะลูบศีรษะมนด้วยความเอ็นดูกับอาการไม่ประสาของหล่อน
ยิ่งอยากเชยชมเรือนร่างงดงามมากกว่าเดิม