บทที่๑...ต้อนรับเจ้าสาว (๒)
“จะมาอดอะไรล่ะ ผอมจนมีแค่หนังหุ้มกระดูก มาๆๆ เดี๋ยวแม่จะทำของโปรดให้ลูกกิน” รีบจับจูงมือบุตรสาวเข้าครัว ระหว่างนั้นก็ให้แม่บ้านขนกระเป๋าของคุณหนูขึ้นไปไว้ด้านบน
แต่ก่อนที่คู่หมั้นของเขาจะพ้นจากสายตา มือหนาก็คว้าแขนเรียวเอาไว้ จนเธอหยุดเดินกลายเป็นคนกลางระหว่างมารดาและว่าที่สามีในอนาคต
“ผมว่าเอาไว้ตอนเย็นดีกว่านะครับ วันนี้ผมจะพาหนูพริมไปลองชุดแต่งงาน” สิ้นเสียงของร่างสูง มารดาหล่อนก็ปล่อยมือบุตรสาวทันที เขาจึงดึงหล่อนมายืนเคียงกาย
“จริงด้วย! ใกล้จะถึงวันงานแล้วใช่ไหมคะ” ความนอบน้อมที่นางมีให้แก่คนอายุน้อยกว่าแสดงถึงอำนาจของปิญชาน์ จนร่างบางต้องเหลือบมองเขา
จำข้อมูลได้ว่าคุณศยามล ประมุขกรกันต์มารดาของอรลภัสญาอายุห่างจากเขาเพียงแค่สิบสองปี ทว่าดูจากความยำเกรงที่มีต่อเขา ทำให้เธอเริ่มเข้าใจบางอย่างมากขึ้น
อรลภัสญาคงอยู่ใต้อาณัติของบิดาและคู่หมั้นมาโดยตลอด กรอบที่กักขังเอาไว้จนอึดอัด วันที่ได้โอกาสออกจากกรงขัง จึงบินหนีไม่คิดชีวิต พร้อมอุบายที่เอามาใช้เพื่อไม่ให้กลับเข้ามาในนี้อีก
โดยเธอคือตัวตายตัวแทน…
“ครับ คุณพ่อคุณแม่คงไม่ว่าใช่ไหมถ้าผมจะพาหนูพริมไปข้างนอก” ประโยคที่เขาเอ่ยไม่ใช่คำถาม แต่เปรียบเสมือนคำสั่งที่ท่านทั้งสองต้องตอบตกลง
ประมุขของบ้านอย่างคุณปภพ ประมุขกรกันต์ที่ดูมีสง่าราศี น่าเกรงขามกลับยิ้มให้ชายตรงหน้า พร้อมเออออไปด้วย ไม่สนใจว่าบุตรสาวจะเดินทางเหนื่อยหรือเปล่า
เพียงแค่ปิญชาน์ต้องการ ก็ย่อมต้องทำตามทันที
“ไม่ว่าหรอกครับ เชิญคุณชาน์ตามสบาย อย่างไรในอนาคตหนูพริมก็ต้องเป็นภรรยาของคุณ” ความจริงที่ไม่อาจหลีกหนีพ้น เธอทำเพียงยิ้มรับกับคำของคุณปภพโดยไม่ได้พูดโต้ตอบ ขณะที่ร่างสูงยกยิ้มมุมปากแล้วพาคนที่เพิ่งกลับถึงไทยออกจากบ้านทันที
“งั้นผมขอตัวนะครับ”
เธอยังไม่ทันดื่มน้ำให้หายเหนื่อย พักผ่อนให้สดชื่นก็ถูกเขาลากขึ้นมาบนรถคันเดิมที่เพิ่งลงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ดวงตากลมเหม่อลอยแล้วพรูลมหายใจเสียงเบา รู้สึกอึดอัดเมื่อได้ใช้ชีวิตหรูหราแต่เป็นเหมือนตุ๊กตาให้คนข้างกายบังคับ
ราวกับว่าแขนขาหล่อนมีเส้นใยบางๆ รัดตรึงเอาไว้ หากจะเดินก็ต้องรอเขาอนุญาต หากนั่งก็ต้องฟังคำสั่ง ชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบมันลำบากอย่างนี้เองหรือ
เพิ่งได้เข้าใจเมื่อลองใช้ชีวิตเป็นอรลภัสญาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง จนอยากกลับไปเป็นวิมาลาที่ไม่ต้องถูกควบคุม
ทว่าพอลองคิดดูอีกครั้งเราสองคนที่ก็มีความลำบากต่างกัน
คุณหนูพริมเพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ เป็นเจ้าหญิงบนหอคอยงานช้าง มีคนคอยรับใช้เสมอไม่ต้องทำสิ่งใดเอง แต่ขาดซึ่งอิสระ
ต่างจากหล่อนที่มีอิสระ แต่ขาดซึ่งเงินตรา อยากทำตามความฝันก็ไม่อาจทำได้ เพราะทุกสิ่งต้องใช้เงิน
“หนูพริม” แขนเรียวถูกแตะจนเธอตื่นจากความฝัน เหลียวมองคนที่นั่งข้างกายแล้วเลิกคิ้วเป็นการถาม ไม่รู้ว่าตกอยู่ในภวังค์นานแค่ไหน รู้อีกทีก็เห็นปิญชาน์มองตนก่อนแล้ว
เขาจะรู้หรือเปล่า…
“คะ อาชาน์มีอะไรเหรอคะ”
“คิดอะไรทำไมตาดูเหม่อลอย มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า บอกอาได้นะ” ถามด้วยความเป็นห่วงหรือต้องการทราบความในใจหล่อนก็เริ่มไม่แน่ใจ
เหมือนว่าปิญชาน์ต้องการรู้ทุกความเคลื่อนไหว หรือความนึกคิดของคู่หมั้น หล่อนจึงเลือกส่ายศีรษะและหาข้ออ้างที่ฟังขึ้น
“เปล่าค่ะ แค่เพลียจากการเดินทาง” บอกเป็นนัยว่าตนเหนื่อย อยากให้เขาพากลับไปพักผ่อน ทว่าคำตอบของอีกฝ่ายทำให้ตนถึงกับพูดไม่ออก ต้องรีบปฏิเสธความหวังดี
“นอนพักก่อนไหม โรงแรมตรงหน้าเป็นของเพื่อนอา จะเปิดห้องพิเศษให้หนูพริม” เธอรู้ว่าเขารวยแต่ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะลงทุนขนาดนี้ หากเป็นห่วงก็ควรให้หล่อนพักที่บ้านแต่แรก
ค่อยไปลองชุดพรุ่งนี้ก็ไม่สาย ราวกับว่าไม่ไปวันนี้งานแต่งจะล่มอย่างนั้นแหละ
“ไม่ดีกว่าค่ะ เราไปลองชุดดีกว่า” พูดจบก็ผินหน้าออกนอกหน้าต่าง เธอคิดว่าชมบรรยากาศข้างนอกน่าจะดีกว่า ทว่าคำพูดของปิญชาน์กลับทำให้หล่อนชาไปทั้งตัว
“กลับมาคราวนี้หนูพริมดูแปลกไปนะคะ” เผลอกำมือแน่นเข้าหากัน หัวใจเต้นรัวราวกลองเพล กังวลว่าผ่านไปไม่ถึงวันเขาจะจับได้ว่าตนคือตัวปลอม
แต่กระนั้นก็ยังทำใจดีสู้เสื้อ แต้มยิ้มที่ริมฝีปากเป็นเส้นโค้งเล็กน้อย เอียงศีรษะอย่างที่อรลภัสญาเคยสอน พยายามไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นความประหม่า
“คะ...แปลก เหรอคะ พริมว่าก็ปกตินะคะไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย อาจจะเพราะผอมลงหรือเปล่า” ใช้ข้ออ้างที่คุณศยามลบอกว่าตนผอมลงกว่าเดิมเป็นเหตุผล ทว่าปิญชาน์กลับสายหน้า เอาแต่จ้องดวงตากลมราวกับจะแสกน
“เปล่าค่ะ แววตา...” เธออยากหลบตาแต่ก็กลัวจะทำให้เกิดพิรุธ สิ่งที่ทำคือจ้องตอบทั้งที่มือสั่น จนต้องเอามือมากุมไว้ที่หน้าตัก
ตนจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด…
“ช่างมันเถอะ อาแค่คิดมากไปเอง กลับจากดูชุดแต่งงานอาจะพาแวะไปกินอาหารอยู่ร้าน Argobarleno ร้านโปรดหนูพริมไงคะ” หล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือร้านอะไร แค่ฟังชื่อก็ส่งยิ้มแหยะให้เขา แล้วเลือกตอบรับเสียงเบา
“อ่า ค่ะ”
สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้คือเดินตามเส้นทางที่ชายหนุ่มวางเอาไว้ อย่างน้อยก็ได้เสวยสุขบนกองเงินกองทอง ใช้ชีวิตหรูหราที่ไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้ง
ขอเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ดีเอาไว้หน่อยแล้วกัน ก่อนที่สักวันอาจจะได้กลับไปเป็นอีพริกแกงคนเดิม…
เดินเข้ามาในร้านพรีเวดดิ้งขนาดใหญ่ ใช้พื้นที่ตึกแถวสี่ตึกสองชั้น แค่ย่างเท้าเข้าภายในก็ได้กลิ่นหอมของหมู่มวลดอกไม้ ความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ แตกต่างจากความร้อนนอกร้านราวอยู่คนละโลก
เจ้าของร้านถึงกับลงมาต้อนรับด้วยตัวเอง เชื้อเชิญปิญชาน์ขึ้นด้านบนพร้อมว่าที่เจ้าสาว ซึ่งเธอก็พยายามไม่แสดงอาการตื่นเต้นให้คนอื่นเห็น ตามเขาไปยังห้องลองชุดที่มีแบบให้เลือกกว่าหนึ่งพันตัว
ทว่าร่างสูงสั่งตัดสินพิเศษโดยจ้างช่างต่างประเทศ เขาเป็นคนดีไซน์ชุดเองตามความต้องการของตน ไม่ได้ถามไถ่เจ้าสาวเลยสักคำ เมื่อม่านเปิดออกพร้อมร่างเพรียวลมที่อยู่ในชุดเจ้าสาวปรากฎกาย
ความสวยทำให้พนักงานที่คอยอำนวยคามสะดวกถึงกับตกตะลึง ทว่าเจ้าบ่าวกลับหน้านิ่วคิ้วขมวด
“อาว่าชุดนี้โชว์มากไป เปลี่ยนชุดใหม่ดีกว่า” เขาดูไม่ถึงห้านาทีก็บอกให้เธอเปลี่ยน ทั้งที่หญิงสาวใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการสวมชุดเจ้าสาวเกาะอกกระโปร่งยาวฟูฟ่อง ทั้งยังหนักเกือบสิบกิโล
ทว่าหล่อนไม่อาจค้านได้ จึงหมุนกายเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วปิดม่านลง โดยที่ร่างหนายังคงนั่งอยู่โซฟาตัวเดิม มือถือโทรศัพท์และตอบข้อความไม่หยุดระหว่างรอเธอเปลี่ยนชุด
“ชุดนี้ดูอึดอัดนะคะ น้องพริมหายใจได้หรือเปล่า อากลัววันงานน้องพริมจะไม่ไหว” เปิดมาอีกครั้งที่ปิดมิดชิด กลายเป็นว่าเขาไม่ชอบซะอย่างนั้น เธอทำได้เพียงยิ้มแห้งแล้วเข้าไปเปลี่ยน
เธอภาวนาให้ชุดที่สามถูกใจเขาสักที เปิดม่านออกพร้อมจดจ้องดวงหน้าคมที่เรียบสนิท
“ชุดนี้อาชาน์ชอบไหมคะ” เขาไม่พูดอะไรจนเธอต้องถาม ชายหนุ่มไล่ดูชุดสีขาวลายลูกไม้ที่แนบลำตัวเพรียว ปลายกระโปรงปล่อยยาวเป็นหางปลา ช่วงบนเป็นเสื้อแขนสั้นเปิดไหล่ มองอย่างไรก็สวยสะดุดตา
คาดว่าเขาต้องชอบอย่างแน่นอน
“ชอบค่ะ”
“อาว่าก็ดีนะ...แต่ดูเทอะทะเกินไป เดินลำบาก เปลี่ยนดีไหมคะ” เธอไม่เห็นว่าชุดดูเทอะทะตรงไหน อยากโต้กลับแต่สุดท้ายก็จำใจยอมรับความเห็นของเขา
“ตามใจอาชาน์ค่ะ”
เพราะถึงค้านไปก็คงไม่ได้ตามต้องการอยู่ดี อีกอย่างชีวิตของหล่อนคืออรลภัสญา ต้องอยู่ในกำมือของปิญชาน์
เมื่อเลือกชุดที่ชอบเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็พูดคุยถึงสถานที่จัดงาน เตรียมความเรียบร้อยไว้ทั้งหมด เธอทำเพียงนั่งนิ่งแล้วยิ้มรับ ทำเหมือนมีความสุขกับงานที่กำลังจะเกิดในเดือนหน้า
“หนูพริมเหนื่อยไหม หิวหรือเปล่า” ออกจากร้านก็หันมาถามคู่หมั้นคนสวย เธอพยักหน้าอย่างแรงพร้อมพูดเสียงดังอย่างลืมตัว เผลอใช้เสียงของตัวเองจนกังวลว่าเขาจะจับสังเกตได้หรือเปล่า
“หิวค่ะ!”
“เอ่อ” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของร่างสูง
“โมโหหิวแน่เลย เดี๋ยวอาพาไปกินอาหารอิตาเลี่ยนนะคะ อาสั่งเชฟไว้แล้วเป็นของโปรดหนูพริมทั้งนั้นเลย กินไม่อั้นฟรีตลอดมื้อ อยากไปไหนอีกไหม”
แอบพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเขาไม่ได้สงสัยในน้ำเสียงที่ตนใช้ เธอเริ่มกังวลว่าตนจะรอดพ้นจากสายตาอันแหลมคมของเขาอีกนานแค่ไหน
อย่างน้อยก็ขอให้ผ่านไปสามเดือนก่อนเถอะ…
“กลับบ้านดีกว่าค่ะ” เธออยากกลับไปพักผ่อนหลังจากเดินทางกลับไทยโดยใช้เวลาบนเครื่องบินหลายชั่วโมง
ตอนแรกหล่อนคิดจะจองที่นั่งธรรมดา แต่เขากลับจองชั้นธุรกิจให้คู่หมั้น ตนจึงได้อานิสงค์จากความรักของปิญชาน์ที่มีต่ออรลภัสญา ได้นั่งกลับไทยอย่างสะดวกสบาย
“งั้นพรุ่งนี้อาไปรับแต่เช้านะคะ”
“คะ มารับทำไมคะ”
“วันเกิดหนูพริมไงคะ อาจะพาไปทำสังฆทานที่วัด อาให้แม่บ้านเตรียมของไว้แล้ว” ลืมไปเสียสนิททั้งที่โดนย้ำหลายรอบว่าพรุ่งนี้คือวันเกิดของอรลภัสญา เธอจึงทำเพียงแค่ยกยิ้มอย่างขอไปที ไม่ได้สนใจมากนักเมื่อเขาเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว
เจ้าหญิงบนหอคอยงาช้างตัวจริงคือเธอนี่เอง
“อ้อ ค่ะ”
มีคู่หมั้นหนุ่มหล่อทำให้ทุกอย่าง แทบไม่ต้องกระดิกตัวเลยด้วยซ้ำ
แบบนี้เรียกว่าความรักหรือเปล่านะ เธอไม่แน่ใจเพราะสายตาที่เขามองตนเหมือนจะรัก แต่จ้องเข้าไปในแววตากลับซุกซ่อนใครบางคนเอาไว้
ใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่อรลภัสญา
เมื่อถึงร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่เธออ่านชื่อร้านไม่ออก หญิงสาวก็รีบเดินเข้าข้างในด้วยความหิว คิดไว้ว่าอาจต้องรออีกหลายนาทีกว่าอาหารจะมาเสิร์ฟ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเดินถึงโต๊ะ กลับมีอาหารวางไว้คอยท่า
จนเธอเผยรอยยิ้มกว้างจุดประกายความสุขในแววตาคู่สวย ปิญชาน์เห็นอย่างนั้นก็นึกเอ็นดูคนอายุน้อยกว่า
“อาหารเต็มโต๊ะอย่างที่อาบอกไว้หรือเปล่า” เขาถามเธอเสียงเบา แล้วเลื่อนเก้าอี้เพื่อให้หล่อนได้นั่งลง เธอหันมาค้อมศีรษะให้ร่างสูงเป็นการขอบคุณ แล้วมองเมนูที่ไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ต้องฝึกกินให้บ่อยเพื่อจะได้ชิน
“ค่ะ”
“ลงมือเลยค่ะ” จดจ้องดวงหน้าคม เมื่อเขาอนุญาตจึงเริ่มตักอาหารมารับประทานด้วยความหิว แม้จะคิดถึงส้มตำไก่ย่างก็ต้องอดใจเอาไว้
เล่นละครตามน้ำไปก่อน…
“อาตรวจดูทุกเมนูไม่มีถั่วที่น้องพริมแพ้ กินได้หายห่วง” เธอพยักหน้าแล้วเคี้ยวอย่างสบายอุรา รสชาติอร่อยจนเธอตักเข้าปากไม่หยุด จนต้องรักษากริยาให้เป็นคุณหนูผู้ดีไม่ใช่ยาจกตกอับ
“อาชาน์ก็กินเยอะๆ นะคะ” เธอตักอาหารใส่จานของเขา แล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย ลืมคนตรงหน้าไปเสียสนิท จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงเขาชวนคุย จึงชะงักแล้วเหลือบมองปิญชาน์ พบว่าเขากำลังจ้องตนจนเริ่มกังวล
“มี มีอะไรหรือเปล่าคะ หน้าพริมมีอะไรติด” วางส้อมกับมีดลงแล้วจับหน้าของตน เขายกยิ้มเพียงมุมปากแล้วใช้มือเท้าคางเพื่อมองหล่อนให้ชัด
กลับมาคราวนี้…หล่อนเหมือนคนในอดีตของเขามากกว่าเดิมเสียอีก
“เปล่าค่ะ อาแค่เห็นน้องพริมกินเก่งแล้วมีความสุข กินเยอะๆ นะ เมื่อก่อนน้องพริมกินอย่างกับแมวดม ขนาดบอกว่าเป็นอาหารที่ชอบ” ถึงหล่อนจะผอมกว่าเมื่อก่อน แต่เขากลับรู้สึกว่าหญิงสาวในตอนนี้มีความสุขในการกินมากกว่า
ราวกับเป็นคนละคน ทั้งที่หน้าตาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน…
“ตอนนี้เจริญอาหารขึ้นเยอะเลย”
“พริมไม่เคยกินนี่คะ” เธอโล่งอกที่เขาไม่ได้สงสัย จึงเผลอพูดตามความคิดจนต้องชะงัก
แย่แล้ว!
“หืม”
“อยู่ที่นู้นไม่ค่อยได้กินน่ะค่ะ” ตอบเสียงเบาแล้วหยิบน้ำมาจิบเพื่อหลีกเลี่ยงดวงตาคมที่จ้องไม่เลิกจนเธอนึกกลัวว่าเขาจะจับพิรุธของตัวเองได้
“งั้นตอนนี้ก็ต้องกินให้เยอะ หนูพริมผอมเกินไปแล้ว” แต่ความรักคงบังตา ร่างสูงจึงปล่อยผ่านโดยหยิบพิซซ่ามาวางบนจานของเธอ จนหญิงสาวยิ้มกว้างมีความสุข
“ถ้าอ้วนใส่ชุดแต่งงานไม่ได้นะคะ” หยอกเย้าเขาอย่างลืมตัว
“ไม่เป็นไร อาบอกให้เขาขยายชุดได้ ขอแค่หนูพริมเจริญอาหารแบบนี้ก็พอ” ถึงเขาจะเป็นจอมบงการ แต่ทุกอย่างที่ทำก็เพราะรักอรลภัสญาไม่ใช่หรือ
ผู้ชายรักเดียวที่แสนเพียบพร้อมอย่างนี้ ทำไมไม่เป็นเธอที่เขารักนะ…
“มองอาทำไมคะ” หล่อนคงเผลอจ้องร่างสูงนานเกินไป เขาจึงเป็นฝ่ายถามกลับ
“แค่...ไม่เจออาชาน์นาน เลยรู้สึกแปลกค่ะ” ยอมรับว่าเขาหน้าตาหล่อเหลา ถึงจะดูมีอายุแต่ก็ดูแลตัวเองอย่างดี มองเห็นร่องรอยแห่งวัยแทบไม่เจอด้วยซ้ำ
เธอช่างโชคดีที่ได้มาอยู่เคียงข้างเขา ถึงจะเป็นเงาของหญิงอื่นก็ตาม
“อาแก่ขึ้นใช่ไหม”
“อาชาน์ยังดูหล่ออยู่เลย ไม่แก่สักนิด” รีบส่ายหน้าแล้วบอกให้เขามั่นใจในตัวเอง ร่างสูงได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มแก้มปริ แทบไม่หิวอาหารเพราะมัวแต่มองคู่หมั้นสาวที่ปากหวานกว่าปกติ
“ชมอาเกินไปแล้ว”
“ทำไมอาชาน์ถึงอยากแต่งงานกับพริมคะ” อาหารกลายเป็นเพียงของประดับโต๊ะเมื่อคนทั้งสองไม่ได้สนใจมันอีกต่อไป หล่อนเอาแต่จ้องเขาพลางถามเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
ราวกับกำลังดูละครเรื่องหนึ่ง ที่คู่รักเหมาะสมกันทุกประการ
ถ้าตนไม่ได้อยู่ในตำแหน่งอรลภัสญา คงเป็นชาวบ้านที่มองข่าวการดองของสองตระกูลใหญ่ แล้วก้มหน้าทำงานต่อไป
ทว่าตอนนี้ได้เป็นตัวเอก…เธอจะทำเพียงแค่มองผ่านไม่ได้
“อาเคยบอกไปแล้ว...อารักหนูพริม” คำบอกรักของเขาดูเบาไร้น้ำหนัก แต่เธอก็ไม่ได้ค้านสิ่งที่อีกฝ่ายบอก กลับเลือกตั้งคำถามที่กระทั่งตัวเองยังนึกสงสัย
“ถ้าเราแต่งงานกัน พริมจะมีความสุขหรือเปล่า พริมยังจินตนาการเรื่องระหว่างเราไม่ออกเลย” ใช้เวลากับเขาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่รับรู้ถึงการความหวังดีที่มาในรูปแบบของการบังคับให้คล้อยตาม
มันคือความสุขจริงหรือเปล่า เธอชักไม่มั่นใจ
“อาจะทำทุกอย่างให้หนูพริมมีความสุข” แต่เขาก็บอกเสียงหนักแน่นเพื่อให้เธอเชื่อ แล้วอย่างนี้หญิงสาวจะทำอะไรได้นอกจากพยักหน้ายิ้มทั้งที่ความสุขไปไม่ถึงดวงตา
ใช้เวลาด้วยกันอีกพักใหญ่จนตะวันลับฟ้า เขาจึงมาส่งหล่อนที่บ้านแล้วมอบข้าวของชุดใหญ่แก่หญิงสาว เป็นชุดสีขาวที่เธอต้องใส่ไปวัดในวันพรุ่งนี้
ไม่ผิดจากที่คิดเอาไว้ ปิญชาน์มองอรลภัสญาเป็นแค่ตุ๊กตาตัวหนึ่ง ที่สามารถทำอะไรก็ได้
“ขอบคุณอาชาน์มากนะคะที่มาส่ง ไว้เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ” โบกมือลาแล้วหมายจะลงจากรถ ทว่าเขากลับคว้าแขนเรียวเอาไว้
“หนูพริม”
“คะ” เธอหันมามองแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อริมฝีปากหนาประทับลงบนหน้าผากของตน
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” คำกล่าวแสนหวาน กับดวงตาทอประกายแห่งความอบอุ่น จนเธอหลงอยู่ในวังวนที่เขาสร้างโดยไม่รู้ตัว
มารู้สึกอีกทีก็เมื่อรถคันหรูแล่นลับออกจากบ้าน ส่วนตนก็โบกมือลาค่อยเดินเข้าบ้านหลังงามเพื่อพักผ่อน
ได้นอนสักที…
เช้าวันต่อมาเขารับเธอไปยังวัดใกล้บ้านแต่เช้า ถวายสังฆทานที่จัดเตรียมด้วยกัน รับพรพร้อมทั้งเสวนาทางธรรมกับพระอาจารย์ที่เคารพ ค่อยเดินออกมากรวดน้ำด้วยความสบายอุรา
ต่างจากวิมาลาที่ต้องใช้ชื่ออรลภัสญา รู้สึกว่าตนกำลังขโมยชีวิตของคนอื่น
“ขอบคุณอาชาน์มากนะคะที่พาพริมมาทำบุญ” พวกเขามายืนที่ศาลาริมน้ำด้วยกัน เธอให้อาหารปลาอย่างมีความสุข ริมฝีปากแต้มยิ้มตลอดเวลาจนดวงตาสุกสกาวราวเก็บดาวทั่วท้องนภามาไว้ในนั้น
เขาคิดถูกแล้วที่พาเธอมา…
“ไม่เป็นไรค่ะ” หล่อนชอบที่เขาใช้คำว่าค่ะกับเธอ ให้ความรู้สึกว่าตนเป็นหญิงสาวตัวน้อยน่าทะนุถนอม
“หนูพริมไปรออาที่รถก่อนนะ อาขอไปหาคนรู้จักแป๊บเดียว” ถึงเวลากลับจึงพากันเดินไปยังที่จอดรถ แต่ปิญชาน์กลับบอกให้เธอไปรอที่รถคนเดียวโดยเขาเดินแยกออกไปสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ภายในวัด
“ค่ะ” ถึงหล่อนจะตอบรับแต่ก็แอบเดินตามเสียงเบาไม่ให้อีกฝ่ายทราบ
จนกระทั่งเห็นเขาหยุดอยู่หน้าเจดีย์ใส่อัฐิ พร้อมยิ้มเศร้าแล้วยกมือลูบภาพด้วยแววตาที่คิดถึงคนจากไปในดินแดนแสนไกล ไม่ต้องอ่านชื่อก็รู้ว่าเป็นใคร
“นั่นสินะ...คุณใบปอ”
เธอคือรมย์นลิน รื่นกังวาน แฟนเก่าของเขาที่จากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสิบกว่าปีก่อน
ผู้หญิงที่ปิญชาน์ไม่เคยลืม และยังรักมาจนถึงทุกวันนี้