บท
ตั้งค่า

บทที่๑...ต้อนรับเจ้าสาว (๑)

บทที่๑...ต้อนรับเจ้าสาว

ส่วนกั้นของผู้โดยสารขาเข้าเต็มไปด้วยบุคคลที่ถือแผ่นป้ายเพื่อรอต้อนรับ แต่กลับมีชายร่างสูงที่สวมสูทเนื้อดียืนเด่นเป็นสง่า สายตาหลายคู่เหลือบมองเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ อยากทราบว่าชายหน้าตาหล่อเหลาเป็นใคร

แล้วคนที่อีกฝ่ายมารอจะเป็นหญิงสาวหรือเปล่า

เขาขยับไหล่เล็กน้อยเมื่อคอยนานจนเริ่มเมื่อยผมหนาถูกเซ็ทให้เป็นทรง เปิดหน้าผากได้รูปมองเห็นกรอบหน้าคมได้ชัดเจน ดวงตาเรียวยาวมีจุดสีดำเล็กๆ ที่หางตาข้างซ้าย ถือเป็นเสน่ห์ที่ทำให้สาวหลายคนหลงใหล จมูกโด่งเป็นสันไม่ได้ผ่านการเติมแต่งแต่อย่างใด ริมฝีปากบางเฉียบราวอิสตรี แต่ยิ่งมองก็ยิ่งน่าหลงใหล

มือสองข้างสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ไม่ได้ถือป้ายต้อนรับแต่ดวงตากลับจ้องเพียงประตูที่เริ่มมีผู้โดยสารทยอยออกมา หลายคนแย้มยิ้มทักทายกับผู้มารับ

มีเพียงร่างสูงที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง เริ่มหวั่นว่าตนอาจจำช่วงเวลาเครื่องลงผิดหรือเปล่า รอแล้วรอเล่ากลับไม่เห็นหญิงสาวที่เฝ้าคอยมาหลายปี

กระทั่งเรือนร่างแบบบางเดินเข็นกระเป๋ากว่าสี่ใบเดินออกมาด้วยท่าทีมาดมั่น ผมยาวพลิ้วไหวไปตามการเยื้องย่าง แว่นสีชาถูกเหน็บไว้เหนือศีรษะ หล่อนสวยเสื้อไหมพรมขนปุยสีครีมกับกางเกงเดนิมสีเข้มเข้ารูป และรองเท้าบูทยาวเกือบครึ่งแข้ง ลืมนึกถึงอากาศที่ประเทศไทยเสียสนิทว่าร้อนแค่ไหน

ดวงตากลมกวาดมองทั่วเขตกั้นว่ามีคนมารับตนหรือเปล่า ก่อนจะสะดุดตากับหนุ่มหล่อในชุดสูท ที่ยืนนิ่งแต่กลับส่งยิ้มมาให้หล่อน ก่อนยกมือโบกเพื่อเป็นการทักทาย

เมื่อเห็นอย่างนั้นคนที่ไปร่ำเรียนปริญญาโทถึงเมืองนอกก็จุดยิ้มที่มุมปาก ก้าวเดินเข้าไปหาเขาแล้วหยุดยืนตรงหน้าชายหนุ่ม

ไม่ทันที่เธอจะตั้งตัว ร่างแบบบางก็ถูกดึงเข้าไปสวมกอดเต็มรัก จนใบหน้าหวานซุกที่ไหล่หนา สูดกลิ่นหอมจากกายสูงเข้าเต็มปอด จนแก้มร้อนผ่าวแทบไหม้ด้วยความเขินอายกับสายตาที่เมียงมองด้วยความสนใจ

คิดว่าถ่ายละครอยู่ซะอีก

พระเอกหล่อ นางเอกสวย…มองอย่างไรก็เพลินตาให้น่าติดตามตอนต่อไป

“หนูพริม...ยินดีต้อนรับกลับไทยนะคะ” ผละออกแล้วจ้องดวงหน้าสวยให้เต็มตาอีกครั้ง

อรลภัสญา ประมุขกรกันต์ คู่หมั้นคนสวยที่อายุห่างจากเขาสิบแปดปี ชายหนุ่มเลี้ยงดูฟูมฟักเธอให้โตเต็มวัย จากนั้นก็เข้าไปขอหล่อนเพื่อมาเป็นนายหญิงของอาณาจักรดำรงฤทธิ์

เมื่อมองดูหล่อนตอนนี้ก็ยิ่งภาคภูมิใจ ยิ่งเติบโตเธอก็หน้าเหมือนคนรักเก่าของเขาราวกับเป็นคนเดียวกัน จนอดไม่ได้ที่จะไล่นิ้วไปตามกรอบหน้ามน ไม่สนใจสายตาหลายสิบคู่ที่มอง

เป็นเธอเองที่ต้องก้าวถอยออกห่าง แล้วยกมือขึ้นประนมกลางอก ค่อยไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีค่ะอาชาน์” สองมือคว้ามือเรียวมากุมเอาไว้ ยิ้มทั้งปากส่งไปถึงดวงตายามได้มองอรลภัสญา

ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะยืนตรงหน้าเขา ไม่ว่าจะมองอย่างไรหญิงสาวก็คือคนที่ตนใฝ่ฝันมาโดยตลอด

ท่าทีของเขาสร้างความตกใจแก่หล่อนเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าตนจะได้รับความรักมากขนาดนี้ มองจากแววตาก็รู้ว่าเขารักเธอมากเพียงใด

แล้วทำไม…

คำถามที่ติดอยู่ในใจและพอจะทราบความจริง เพียงแค่เมื่อเจอสถานการณ์นี้ก็เกิดความสงสัยกลางคัน

ถ้าผู้ชายตรงหน้า…ปิญชาน์ ดำรงฤทธิ์ มีความรักต่อคู่หมั้นอย่างจริงใจและจริงจัง เหตุใดเธอจึงต้องมายืนอยู่ตรงนี้

“พริมไม่คิดว่าอาชาน์จะมารับที่สนามบิน เห็นอาชาน์งานยุ่ง...” ปัดความคิดเหล่านั้นออกทั้งหมด แล้วแย้มยิ้มอย่างที่ได้รับการฝึกพร้อมกดเสียงต่ำให้สำเนียงเหมือนตัวจริง

เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากไม่ให้สั่นกลัวต่อหน้าเขา เลือกจะออกมาเป็นคนสุดท้ายเพราะทำใจกับการได้เจอหน้าคู่หมั้น

ที่ไม่ใช่ของตน…

ผู้ชายตรงหน้าร่ำรวย หล่อเหลา อบอุ่น สุภาพ ตรงตามไทป์ที่สาวหลายคนฝันหา แต่คนที่ได้ครอบครองกลับไม่ต้องการ

หล่อนจึงถูกจ้างมาทำหน้าที่นั้น

ด้วยจำนวนเงินสูงลิ่วจนคนที่ปากกัดตีนถีบต้องรับข้อเสนออย่างจำยอม…ซึ่งคนคนนั้นคือเธอเอง

วิมาลา ขันฤดี หญิงสาวที่อาศัยในชุมชนแออัดตั้งแต่จำความได้ ครอบครัวมีความสุขถึงอยู่ในบ้านที่ฝนตกคราวใดก็ต้องหากะละมังมารองพื้น ทนกลิ่นน้ำคลองแสนเหม็น อดมื้อกินมื้อเมื่อไม่ได้รับเงินตามเวลา

จนกระทั่งบิดามารดาจากไป เธอก็อยู่กับยายที่แก่ตัวลงทุกวัน เงินที่นำมาเลี้ยงครอบครัวก็แทบไม่มี เรียนจบชั้นมัธยมปลายก็ต้องหางานเลี้ยงชีพ แล้วลงเรียนมหาวิทยาลัยเปิด

หวังเพียงวุฒิปริญญาตรีจะช่วยฉุดดึงเธอให้ลืมตาอ้าปากได้

แต่ทุกอย่างก็พังลงเพราะยายเกิดอุบัติเหตุจนต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน ค่าใช้จ่ายในส่วนต่างที่ต้องให้โรงพยาบาล เธอไม่อาจหาได้ทันเวลา

จนได้คนใจดีเข้ามาช่วยเหลือ พร้อมหยิบยื่นข้อเสนอแสนโหด พร้อมขอเวลาเธอหนึ่งปี…เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง

จนกลายเป็นร่างโคลนนิ่งของอรลภัสญา ที่จะไม่มีใครจับได้

“อาจะไม่มารับคู่หมั้นได้ยังไง ลืมแล้วเหรอว่าหลังจากที่หนูพริมเรียนจบเราต้องแต่งงานกัน” ย้ำถึงความจริงที่คนฟังถึงกับหน้าเสีย ต่างจากร่างสูงที่เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ได้บอกหล่อนสักคำ

“พริมไม่ลืมค่ะ” เลือกเดินไปเข็นรถที่เต็มไปด้วยกระเป๋าของตน แต่เขาก็แย่งมาเข็นให้เธอ ร่างบางจึงได้เดินตัวเปล่า

หล่อนลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกังวล แค่เจอหน้ากันไม่ถึงชั่วโมงยังเกรงกลัวรังสีที่แผ่ออกมาจากร่างสูง หากแต่งงานและใช้ชีวิตด้วยกันจะเป็นอย่างไร

เธอจะไม่แข็งเป็นหินเลยเหรอ

“งั้นกลับกันดีกว่านะคะ อาจะพาหนูพริมไปส่งที่บ้านแล้วแวะไปลองชุดเจ้าสาว อาเลือกไว้ให้แล้วสามถึงสี่ชุด สั่งตัดพิเศษเพื่อหนูพริมโดยเฉพาะ” ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ รีบผินหน้ากลับมาถามเสียงหลงจนต้องกระแอมเพื่อดัดเสียงให้อยู่ในโทนที่เขาคุ้นเคย

“คะ...ชุดเจ้าสาว งานแต่งจะจัดเดือนไหนคะ” จากที่ทราบงานแต่งจะจัดปลายปี ซึ่งเหลือเวลาอีกหลายเดือนไม่ใช่หรือ

อย่างน้อยก็น่าจะมีเวลาให้เธอได้เตรียมใจหน่อย

“เดือนหน้าค่ะ” แต่เมื่อเขาเอ่ย กลับทำให้วิมาลาถึงกับหยุดเดิน แล้วเผลอถามเสียงดังด้วยความตระหนก ไม่ลืมรักษาการแสดงเอาไว้ ห้ามหลงลืมตัวเด็ดขาด

ตอนนี้เธอคืออรลภัสญา คุณหนูตระกูลผู้ดีไม่ใช่วิมาลาเด็กในสลัม…

“เดือนหน้า! ทำไมไม่เห็นมีใครบอกพริมสักคน เร็วขนาดนี้เราจะเตรียมงานทันเหรอคะ พริมว่าเลื่อนออกไปก่อนดีกว่า”

“เร็วอะไร อาว่าช้าไปด้วยซ้ำ” เขาเดินนำเธอออกไปข้างนอก หยุดที่รถตู้ซึ่งจอดรอรับคนทั้งคู่ คนรถของบ้านดำรงฤทธิ์ทำหน้าที่ขนกระเป๋าของหล่อนเข้าไปไว้ด้านหลัง ปล่อยเจ้านายสองคนพูดคุยถึงเรื่องสำคัญ

“ส่วนเรื่องต่างๆ หนูพริมไม่ต้องห่วง อาจัดการไว้หมดแล้ว เหลือแค่เจ้าสาวอย่างเดียว” เขาไม่ต้องรอให้เธอเป็นคนจัดการเหมือนคนอื่น เพราะคนที่ต้องการแต่งงานคือตน

อย่างไรหล่อนก็ไม่อาจหนีพ้นอยู่แล้ว หมั้นหมายกับหลายปี ถึงวันที่ต้องแต่งสักที

ปิญชาน์ไม่มีทางปล่อยอรลภัสญาให้หลุดรอดไปได้ เธอต้องเป็นภรรยาของเขา

เป็นตัวแทนของคนที่จากไปในที่แสนไกล…

“แต่พริมเพิ่งเรียนจบ...” ยังคงทักท้วง จนร่างสูงต้องกุมมือบางเอาไว้ หยุดยืนตรงหน้าหล่อนพร้อมกดเสียงต่ำและจ้องดวงตากลมไม่ให้หลบ ประโยคของเขาคล้ายคำขู่ที่หล่อนไม่กล้าโต้ตอบ

ความน่ากลัวของปิญชาน์คือการกดดันอีกฝ่าย เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ โดยใช้เพียงแค่เสียงต่ำกับดวงตาเข้ม ทุกคนก็พร้อมสิโรราบตรงหน้า

“หนูพริมคงไม่คิดจะบิดพลิ้วหรอกนะ ความจริงเราควรแต่งงานกันตั้งแต่หนูพริมจบป.ตรี แต่อาก็ตามใจให้ต่อโทที่ต่างประเทศ คราวนี้อาคงต้องขอให้หนูพริมตามใจอาบ้าง”

“ค่ะ”

ไม่เว้นกระทั่งหล่อน ที่ไม่อาจโต้แย้งอะไรได้อีก ทำเพียงตามน้ำด้วยการพยักหน้า

“เด็กดีของอา...ขึ้นรถเถอะค่ะ” แล้วเขาก็กลับมายิ้มแย้มดังเดิม โอบไหล่เธอพาขึ้นรถตู้เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ

รถตู้คันหรูแล่นเข้ามาในบ้านหลังงามที่เพียงแค่เห็นรั้วอัลลอยด์หล่อนก็เผยอปากค้างด้วยความตกตะลึง ก่อนจะรีบทำหน้าเรียบเฉยแล้วเหลือบมองคนที่นั่งข้างกัน กลัวเขาจะสังเกตเห็นว่าแววตาของหล่อนตื่นเต้นมากแค่ไหน ราวกับเข้ามาในบ้านที่ไม่คุ้นเคย

ขับผ่านสวนสวยที่ตัดแต่งพุ่มไม้เป็นทางโค้งยาวไปถึงสวนดอกไม้ที่ชูช่อสดชื่น ริมฝีปากอวบอิ่มแต้มยิ้มที่มุมปาก กระทั่งพาหนะจอดลงหน้ามุข หล่อนจึงรีบทำการแสดงอีกครั้ง

เธอคืออรลภัสญา…

หนูพริมผู้เป็นที่รักของทุกคน

ย้ำเตือนตัวเองจนมั่นใจ แล้วลงจากรถพร้อมเงยหน้ามองบ้านหลังงามที่เธอไม่เคยได้มาเยือนสักครั้ง สถานที่แปลกใหม่ กับสถานะไม่คุ้นชิน แต่เพราะซ้อมมาตลอดเก้าเดือนจึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่พลาด

ก้าวตามร่างสูงเข้ามาในบ้าน ผ่านโถงกลางที่มีแชนเดอร์เลียราคาแพงห้อยระย้าส่องแสงสว่าง เพดานเปิดโล่งทำให้ห้องดูกว้างและปลอดโปร่ง

ช่างเป็นสถานที่แปลกใหม่ ซึ่งไม่เหมาะกับหล่อนเอาเสียเลย

“คุณพ่อคุณแม่” ยกมือไหว้ชายหญิงวัยกลางคนที่มีสง่าราศี ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมแต่คุณผู้หญิงของบ้านกลับตรงเข้ามากอด จนเธอไม่ทันตั้งตัว

“พริมของแม่ พริมกลับมาแล้ว แม่คิดถึงหนูที่สุดเลยลูก ไหนดูสิไปอยู่เมืองนอกเป็นยังไงบ้าง...ผอมลงหรือเปล่า จับไปมีแต่กระดูก อาหารที่นั่นไม่ถูกปากใช่ไหม” ไม่รู้ว่าเป็นการแสดงหรือเปล่า แต่เธอก็พยายามยิ้มให้เหมือนที่หญิงสาวอีกคนเคยทำ

ท่านผละออกก่อนจะจับแขนบุตรสาว กลับบ้านครั้งล่างสุดเมื่อห้าเดือนก่อน ยังรู้สึกว่าอรลภัสญามีน้ำมีนวล แต่กลับมาคราวนี้กลับผ่ายผอม ทั้งสีผิวยังเข้มขึ้นเล็กน้อย

หรือลูกของตนไปนอนอาบแดดตามที่ต่างชาตินิยม แต่ก็เลิกสนใจแล้วประคองดวงหน้าหวานพลางจดจ้องด้วยความคิดถึง หล่อนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบปลดมือของท่านออก แล้วขยับห่างเพียงครึ่งก้าว

“เปล่าค่ะ พริมแค่ไดเอท”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel