บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

บันไดคอนกรีตที่ทอดขึ้นสู่ประตูทางด้านหลังปราศจากหิมะหรือน้ำแข็ง แต่ว่ามันยังเปียกชื้นอยู่ เลสลี่เข้ามาหยุดตรงบันไดขั้นแรก

“พอจะขึ้นเองได้ไหม” เสียงป้าถามด้วยความห่วงใยพร้อมจะช่วยถ้าเลสลี่ขึ้นไม่ได้

“แค่ 3 ขั้นเท่านั้นคงขึ้นได้ค่ะ” เธอตอบพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ “แต่อพาร์ตเมนท์ที่หนูอยู่มันต้องขึ้นบันไดตั้ง 3 ขั้น มันเลยแย่ ตายจริง หนูทิ้งกระเป๋าถือไว้ในรถนั่นเอง”

“เดี๋ยวให้ฮอลลี่ไปเอาให้” แพตซี่ อีแวนส์ หันไปทางเด็กหญิง

“อยู่ตรงที่นั่งด้านหน้าจ้ะ” เลสลี่บอกกับสาวน้อยตาสีฟ้าในชุดแดง ซึ่งเตรียมจะออกวิ่งไปที่รถ

เลสลี่ค่อย ๆ ประคองตัวขึ้นบันไดไปทีละขั้น ป้าของเธอจึงรีบขึ้นไปเปิดประตูรอไว้ และเธอก็เขยกขาข้ามธรณีประตูเข้าไปในบ้าน มันเป็นเวลา 5 ปีมาแล้ว ที่เธอเคยมาที่บ้านหลังนี้ แต่กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย

ห้องครัวขนาดใหญ่อันประกอบด้วยตู้ใส่ของติดผนังที่ทำจากไม้เบิร์ช ก็คงอยู่ในสภาพเดิม นาฬิกาแขวนรูปแมวตัวใหญ่ ก็ยังคงเหวี่ยงตุ้มไปมา เข็มชี้บอกวินาทีค่อย ๆ เคลื่อนไปตามหางแมว แม้แต่ม่านตรงหน้าต่าง ที่เป็นผ้าลายทาง ก็ยังอยู่ในรูปแบบเดิม แม้ว่ามันจะมิใช่ผืนเก่าที่เคยแขวนมาก่อนก็ตาม ออกจะน่าขันที่เธอกำหนดจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ไว้ได้ทั้งหมดตลอดเวลาที่ผ่านไป ทั้ง ๆ ที่เธอมิได้เติบโตขึ้นมาในบ้านหลังนี้ และมิได้มาเยี่ยมป้าบ่อยครั้งก็ตาม

ถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว เพิ่งจะตอนที่เข้ามหาวิทยาลัยนี่เองที่เลสลี่ได้ทำความสนิทสนมกับป้าแต่มันเป็นไปในลักษณะของความชอบอัธยาศัยกันมากกว่าที่จะเป็นฉันญาติ แพตซี่ อีแวนส์ นั้นเป็นคนที่มีอารมณ์และยิ้มง่าย แต่เลสลี่ติดใจที่ป้าของเธอเป็นคนที่มีเจตนารมณ์อันมั่นคง แพตซี่เป็นพี่สาวของบิดา และมันออกจะเป็นการยากที่จะนึกถึงภาพคนสองคนที่มีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงว่าเป็นพี่น้องกัน

เมื่อสายตาของเธอกวาดไปทั่วครัว แล้วก็มาหยุดอยู่ที่ป้า และเลสลี่ก็ยิ้มให้ แม้จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียเพียงใด ความพอใจก็ยังปรากฏอยู่

“หนูชอบบ้านนี้จังเลยค่ะ” เธอเอ่ยขึ้น “รุ้สึกว่ามันมีความแข็งแรงมั่นคงดีจริง ๆ”

“จ้ะ” น้ำเสียงของป้าที่สนองตอบแฝงความขบขันอยู่ “หนูอยากให้ตัวเองได้อยู่ในบ้านแบบนี้ใช่ไหมล่ะ มันเป็นบ้านของคนที่ไม่ชอบความหรูหราฟุ่มเฟือยอะไรนักหรอก”

เสียงกระดิ่งตรงประตูดังขัดจังหวะคำตอบของเลสลี่ไว้ และแล้วหนูน้อยฮอลลี่ วิลเลี่ยมส์ ก็เดินเข้ามาในบ้านตามมาด้วยพ่อของเด็กหญิงที่หิ้วกระเป๋าเดินทางเข้ามา สองพ่อลูกเดินมาหยุดอยู่ตรงพรมเช็ดเท้าผืนใหญ่ เพื่อจะได้ไม่ทำให้พื้นห้องเปรอะเปื้อน

“นี่ค่ะ กระเป๋าถือของคุณ” ฮอลลี่ส่งกระเป๋ามาให้โดยไม่พยายามก้าวเท้าที่เปียกหิมะออกมานอกพรม

“ขอบใจมากจ้ะฮอลลี่” เลสลี่ทิ้งน้ำหนักลงบนไม้ค้ำและเอนร่างไปรับกระเป๋าถือจากเด็กหญิง “และขอบคุณมากนะคะ คุณวิลเลี่ยมส์ ที่ช่วยเอากระเป๋าเดินทางเข้ามาให้” ดูเหมือนตั้งแต่มาถึงที่นี่ เธอต้องขอบคุณสองคนพ่อลูกนี้หลายครั้งหลายหน

“คุณเองก็มือไม่ว่างอยู่แล้วนี่ครับ อย่างน้อยผมก็จะช่วยได้” มุมปากของเขากดลึกลง ขณะเดียวกันสายตาก็จับอยู่ที่ไม้ค้ำ จากนั้นจึงได้เบือนสายตาไปทางแพตซี่ อีแวนส์ “จะให้ผมเอากระเป๋านี่วางตรงไหนครับ คุณนายอีแวนส์”

“บนเคานท์เตอร์นั่นก็ได้ค่ะ” แพตซี่พยักหน้าไปทางนั้น และหันมาทางเลสลี่ “เอ...ป้าไม่รู้ว่าหนูรู้จักกับเพื่อนบ้านของป้าหรือยังนะเลสลี่”

“เราต่างก็แนะนำตัวเองกันแล้วละครับ” ทักก์ วิลเลี่ยมส์ ตอบแทน หันไปยิ้มให้เธอแวบหนึ่ง

“ดีแล้วละ” ป้าของเธอพูดห้วน ๆ ตามนิสัย “เออป้ากำลังจะต้มน้ำชาอยู่พอดี อยู่ดื่มน้ำชากับเราก่อนไหมล่ะทักการ์ท”

“เอาไว้คราวหน้าเถอะครับ” เขาปฏิเสธ ดวงตาคู่สีฟ้าลอบชำเลืองไปทางเลสลี่อีกครั้ง “ผมรู้สึกว่าหลานสาวของคุณนายท่าทางเพลียมาก หลังจากที่ต้องเดินทางมาเป็นระยะไกลอย่างนี้” พูดจบเขาก็เอื้อมมือหนึ่งไปเปิดประตูอีกมือหนึ่งก็โอบหลังลูกสาวไว้เพื่อพาเดินออกไปทางประตูนั้น “ขอให้สนุกนะครับ” คำพูดประโยคสุดท้ายนั้น เขาพูดกับเลสลี่

มีอะไรบางอย่างอยู่ในสายตาที่เขามองมาเป็นครั้งสุดท้ายที่สัมผัสแก่นแท้แห่งความเป็นผู้หญิงของเธอ ซึ่งก่อนหน้านั้นมันเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียจนเกินกว่าจะแคร์ต่อสิ่งใด หรือสร้างความสนใจให้กับเธอได้ เธอพยายามจะไม่สบสายตากับเขา และมองดูสิ่งอื่นแทนเช่นช่วงไหล่กว้าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมกันหนาว สันกรามที่บ่งบอกถึงพลังบนใบหน้า และแล้วเสียงประตูชั้นในก็ปิดกลับตามหลังของเขาลง และตามมาด้วยเสียงบานประตูชั้นนอก

มุมปากของเธอปรากฎรอยยิ้มจาง ๆ ขณะที่เลสลี่ปรายหางตามองไปทางป้า ที่กำลังสาละวนรินน้ำใส่กาอยู่

“ทำไมผู้ชายหน้าตาดี ๆ มักจะต้องแต่งงานแล้วกันเสียทุกคนคะป้า”

แพตซี่ อีแวนส์ เปล่งเสียงหัวเราะเบา ๆ เป็นเสียงต่ำ ๆ ที่หลุดลอดออกมาจากลำคอ

“เอ...ป้าก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะว่าทักก์เขาจะแต่งงานแล้ว”

“อ้าว” เลสลี่เปิดกระเป๋าถือออกหยิบขวดยาออกมาจากนั้นก็เดินเขยกอยู่กับไม้ค้ำเพื่อรินน้ำใส่แก้ว

“เขาคงจะขังเมียไว้บนห้องใต้เพดานละมัง เพราะตั้งแต่เขาย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนั้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนป้ายังไม่เคยเห็นใครอื่นเลยนอกจากทักการ์ทกับเด็กคนนั้น” เธอวางกาลงบนเตาแก๊ส และใช้ไม้ขีดจุดไฟขึ้น “และป้าก็บอกหนูไม่ได้เหมือนกันว่าเขาเป็นพ่อหม้ายเมียหย่าหรือเมียตาย เพราะเขาไม่เคยเล่าอะไรให้ป้าฟังเลย ป้าเองก็เคารพในความเป็นส่วนตัวของเขา ก็เลยไม่กล้าถาม”

“รู้สึกว่าลูกสาวเขาเป็นเด็กที่มีความสุขแล้วก็มารยาทดีด้วยนะคะ สำหรับเด็กผู้หญิงที่เติบโตมาด้วยการอบรมเลี้ยงดูจากพ่อคนเดียว” เลสลี่ตั้งข้อสังเกตอย่างไม่ตั้งใจขณะที่กลืนยาและดื่มน้ำตามลง การที่ตัวเธอเองเป็นลูกคนเดียวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน ทำให้เลสลี่รู้ดีว่าชีวิตเช่นนั้นเป็นอย่างไร “ตอนนี้แกอายุเท่าไหร่แล้วล่ะคะ”

“ฮอลลี่อายุ 6 ขวบแล้ว แต่จะครบ 7 ขวบ ตอนหลังวันคริสต์มาสนี่แหละ ก็เลยถูกตั้งชื่อตามเทศกาลไงล่ะ” แพตซี่ อีแวนส์ มิได้วางมือจากการทำงาน ขณะที่ตอบคำถามของหลานสาว เธอเอื้อมไปหยิบถ้วยจับจานรองลงมาจากตู้ และเอาวางลงบนเคานท์เตอร์

“แล้วเขาทำอะไรล่ะคะ” เลสลี่อดแสดงความสงสัยออกมาดัง ๆ ไม่ได้

“หมายถึงทำมาหากินน่ะรึ” ป้าของเธอชะงักมือ ทำท่าราวใช้ความคิดอยู่เป็นครู่ “เอ...จำไม่ได้นะ ว่าเขาเคยบอกหรือเปล่า รู้สึกว่าเขาไม่ใคร่พูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองเท่าไรนักหรอก แต่ก็แสดงความเป็นมิตรอย่างจริงใจ เป็นคนที่มีน้ำใจทีเดียวละ แต่ก็รู้สึกว่าค่อนข้างจะเก็บตัวอยู่” เธอเหลือบตามองหน้าเลสลี่ แววแห่งความใคร่รู้ปรากฏขึ้นในดวงตาคู่สีน้ำตาล “ทำไม หนูรู้สึกติดใจผู้ชายที่เขามีครอบครัวแล้วงั้นหรือ เลสลี่” เธอถามล้อ ๆ น้ำเสียงบอกความรักใคร่ไยดีในตัวหลานสาวอยู่

“เห็นจะยากค่ะ” เลสลี่ผละออกจากอ่าง กระชับไม้ค้ำไว้แน่น “หนูเคยเห็นชีวิตแต่งงานที่มันประสบความล้มเหลวมาแล้วนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นขอให้ชีวิตเป็นโสดอย่างนี้ดีกว่า” เธอมิได้หมายความแต่เฉพาะพ่อแม่ของตัวเองเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงเพื่อน ๆ ด้วย

“แต่สักวันหนึ่งหนูก็จะต้องเปลี่ยนใจอยู่ดีนั่นแหละ” ป้าของเธอพูดด้วยความมั่นใจ

เลสลี่มองหน้าป้า และแล้วก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา

“ค่ะ หนูคิดว่าป้าคงพูดถูกนะคะ เพราะมันเป็นคำพูดที่ออกจะนิยมกันอยู่มาก” หางเสียงที่ตอบบอกความอ่อนเพลียอยู่มาก

แพตซี่ อีแวนส์ หันมามองหลานสาวอย่างพิจารณาและแล้วก็แนะนำขึ้นว่า

“ป้าว่าเธอเข้าไปนั่งพักขาในห้องรับแขกเสียก่อนดีกว่า เดี๋ยวพอชงชาเสร็จแล้วป้าจะยกไปให้”

คำพูดของป้านั้น ยากที่เลสลี่จะปฏิเสธได้

“ค่ะ หนูคงต้องพักสักหน่อย เดี๋ยวยามันก็คงออกฤทธิ์” ขณะที่เธอหมุนตัว และเหวี่ยงไม้ค้ำ เพื่อจะยันตัวเดินออกไปยังห้องรับแขก ไม้ค้ำข้างหนึ่งก็กระแทกเข้ากับขาเก้าอี้ “หนูมีความรู้สึกเหมือนตัวเองเหมือนวัวจริงๆเวลาที่ต้องเดินสี่ขาอย่างนี้” เธอพูดอย่างรำคาญตัวเอง “อยากรู้จังว่าทำไมเดินสี่ขามันถึงได้ยากกว่าเดินสองขานัก”

“อีกหน่อยก็ชินไปเองละน่า” ป้าของเธอบอก

“กว่าจะเอาเฝือกออกซึ่งก็ตั้งอีก 5 อาทิตย์ หนูคงชำนาญแล้วละค่ะ” เลสลี่ตอบอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเขยกออกไปจากครัว

เฟอร์นิเจอร์ในห้องนี้ก็เหมือนกับตัวบ้าน ถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแรงทุกชิ้น และบางชิ้นก็เป็นของเก่าโบราณนวมที่บุอยู่บนเก้าอี้โซฟา ขอบเดินลายทองนั้นอัดแน่น บอกให้เลสลี่รู้ว่าส่วนที่เป็นพนักนั้นเป็นของใหม่ เธอทรุดตัวลงนั่งตรงปลายด้านหนึ่ง และยกขาขึ้นไว้บนเก้าอี้ หยิบหมอนที่ปลอกปักด้วยฝีมือขึ้นรองหลังไว้ และหลับตาลงปล่อยให้ความเงียบสงบภายในตัวบ้านกล่อมตัวเองอยู่ ความสงบสุขเป็นสิ่งที่เธอแสวงหามาโดยตลอด และดูเหมือนจะไม่เคยได้รับเลยตลอดเวลา 25 ปีที่ผ่านมา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel