ตอนที่ 2
เมื่อหล่อนเงยหน้าขึ้นมอง ประตูบานกว้างเปิดออกมาพร้อมๆ กับร่างสูงโปร่งของนายแพทย์ในชุดเสื้อคลุมสีเขียว กำลังก้าวออกมาจากห้องนั้น
เขาเดินตรงมาที่หล่อน
ทว่ายังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรออกมา จำปาก็เป็นฝ่ายชิงถามออกไปเสียก่อนด้วยน้ำเสียงร้อนรนเป็นห่วงสามี
“ผัวฉันเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ…”
“…..” คุณหมอนิ่ง ราวกับจงใจทิ้งช่วงเวลาสั้นๆ ตรงนั้น
เอาไว้ให้คนฟังได้มีเวลาทำใจ… กับคำตอบซึ่งเขารู้ว่าโหดร้ายเหลือเกินสำหรับหล่อน
“เสียใจด้วยนะครับ…”
นายแพทย์วัยกลางคน ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมผ่าตัด เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบๆ น้ำเสียงเศร้าสลดอย่างคนที่คุ้นชินกับการ ‘เกิด’ และ ‘ตาย’ ซึ่งมีให้เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวันในหน้าที่การงานที่ต้องคลุกคลีอยู่กับเรื่องพวกนี้
“จำปาใจหายวาบ…”
หล่อนยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาพราวไปด้วยหยาดน้ำตา ใบหน้าสวยซีดเซียวราวกับหน้ากระดาษที่ปราศจากตัวอักษร
“ครับ… เขาไปแล้วครับ”
หมอตอบพลางยกหลังมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดพราวเต็มหน้าผาก ภายหลังจากคร่ำเคร่งอยู่กับการผ่าตัดที่กินเวลายาวนานกว่าสองชั่วโมง
แต่ท้ายที่สุด… เขาก็ไม่อาจยื้อชีวิตของเชิดมาจากอุ้งมือของมัจจุราช
“ไม่จริง…”
หล่อนส่ายหน้า ก้อนความเศร้าเคลื่อนขึ้นมาเจ็บจุกไปทั้งลำคอ หยาดน้ำตากลมเกลี้ยงกลิ้งลงมาอาบนวลแก้มระเรื่อแดง พร้อมด้วยเสียงสะอื้นตามมาราวกับว่าหัวใจของหล่อนกำลังจะขาดรอนลงเสียให้ได้
“ฮือออ…”
จำปาฟูมฟาย สะอื้นจนตัวโยน ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป ยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ยอมรับความจริงอันโหดร้ายที่โชคชะตาเลือกที่จะยัดเยียดให้หล่อนอย่างเลือดเย็น โดยไม่สนใจว่าจำปามีลูกน้อยในวัยเพียงหนึ่งขวบที่ต้องเลี้ยงดูต่อไป และรายได้ทางเดียวที่มีก็จากการขับรถแท็กซี่ของเชิด แต่ตอนนี้…
“ไม่จริงใช่ไหมคะคุณหมอ… เค้ายังไม่ตายใช่ไหมคะ”
หญิงสาวหวังว่าคุณหมอจะเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่จากที่มันทำให้หล่อนปวดแปลบใจในครั้งแรก
“คุณต้องเข้มแข็งนะครับ…”
คุณหมอเลี่ยงที่จะตอบตรงๆ แต่ความหมายในคำพูดก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
“ฮืออออ…”
เพียงเท่านั้นจำปาก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายสายตาใครจะมอง ใบหน้าสวยนองไปด้วยคราบน้ำตาที่หลั่งออกมาราวกับหยาดฝนในคืนฟ้ารั่ว
หล่อนเอนกายไร้เรี่ยวแรง เซซบไปกับผนัง แล้วร่างก็ทรุดฮวบลงมาตามผนัง กระทั่งนั่งลงกับพื้นทางเดิน ซบใบหน้ากับเข่าทั้งสองข้างของตัวเอง ขาทั้งสองข้างเบาหวิว ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะพยุงกายเอาไว้ได้
วินาทีนั้น…
ทุกอย่างรอบๆ กายของหล่อนดูเงียบเชียบไปเสียหมดโลกทั้งใบกำลังบีบตัวเข้าหากัน เพดานของโถงทางเดินแลดูหนักอึ้ง… คล้ายกำลังจะเคลื่อนลงมาทับร่างของหล่อน
จำปาสะอื้นจนตัวโยน รู้แต่ว่านาทีนั้นหล่อนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปโดยปราศจากสามี ภายในใจของหล่อนกำลังถูกบีบคั้นรุนแรงเหมือนจะขาดใจตามเชิดไปเสียให้ได้
สองเดือนต่อมา
ภายหลังจากงานศพของสามีได้ผ่านพ้นไปแล้ว จำปาเริ่มสลัดอาการซึมเศร้าออกไปจากใจ เวลาช่วยทำให้หล่อนลืมความเศร้าโศกเสียใจลงไปได้บ้าง กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของสามี
จำปาบอกตัวเองให้ลุกขึ้นสู้ เมื่อตระหนักดีว่าปัญหาใหญ่ที่กำลังรุมเร้าเข้ามาก็คือชีวิตของหล่อนและลูกสาวตัวน้อยนับจากนี้ … จะดำเนินต่อไปได้อย่างไร? เพราะว่าตัวเองก็ไม่ได้ทำงาน และที่ผ่านๆ มา รายได้ที่เข้ามาจุนเจือครอบครัวก็ล้วนได้มาจากหยาดเงื่อแรงกายของเชิดทั้งสิ้น และตอนนี้เงินเก็บจำนวนน้อยที่สามีหาเอาไว้ให้ก่อนตาย จำปาก็ใช้จ่ายจนหมดลงแล้ว
“เอ็งเป็นยังไงบ้างวะนังจำปา…”
ป้าช้อย เพื่อนบ้านซึ่งรู้จักมักคุ้นกันดีเพราะว่าเช่าบ้านอยู่ติดกัน แกตะโกนถามเสียงดังลั่นมาจากอีกฟากรั้วเตี้ยๆ
“พอทำใจได้บ้างแล้วละป้า…”
คนถูกถามตะโกนตอบเสียงเศร้า
“คนมันก็ตายไปแล้ว ไอ้เชิดมันหมดกรรมไปแล้ว เหลือก็แต่เอ็งกับลูก คิดมากไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ แล้วก็ไอ้หนังสือพิมพ์เล่มนั้นน่ะเอ็งจะเก็บเอาไว้หาสากกระเบืออะไรวะ บอกตรงๆ ว่าพอได้เห็นเข้าทีไร ข้าก็พลอยเศร้าไปกับเอ็งด้วย”
พูดจบแล้วแกก็เดินเข้ามาในบ้านของจำปา หย่อนสะโพกลงนั่งข้างๆ หล่อน พร้อมกับคว้าเอาหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวขึ้นหน้าหนึ่งว่า ‘แท็กซี่โชคร้ายโดนฆ่าชิงทรัพย์… โจรใจร้ายเอาหินกระหน่ำทุบหัวเละ’
แกขยำหนังสือพิมพ์ทิ้งลงในขยะ ครั้นแล้วก็หันมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ
“จำปา… ฟังข้านะ เอ็งเศร้าโศกเสียใจได้ข้าไม่ว่า แต่อย่าให้เวลากับการเศร้าโศกเสียใจนานจนเกินไป คนตายมันไม่รับไม่รู้อะไรแล้ว แต่คนที่ยังมีลมหายใจอย่างเอ็งก็ต้องสู้ ต้องดิ้นรนต่อไป… นี่อีกไม่กี่วันก็สิ้นเดือนแล้วโว้ย เอ็งคิดบ้างหรือเปล่าว่าจะเอาเงินจากที่ไหนมาจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ หนี้รายวันของไอ้บัง แล้วไหนยังจะหนี้สินเก่าๆ ที่ผัวเอ็งก่อเอาไว้บานเบอะ”
แกสาธยายออกมาอย่างคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่รู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี
คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวหันมาส่ายหน้า… น้ำตาจะไหลออกมาเสียให้ได้ มองป้าช้อยด้วยแววตากลัดกลุ้มรันทดหนักเข้าไปอีก
“เวรละอีห่า… ไม่พ้นกูอีก”
ป้าช้อยอุทานอย่างคนปากหนัก
ผู้คนในซอยต่างก็รู้กันดีว่าแกปากร้าย เป็นคนพูดตรงไม่อ้อมค้อม แต่ก็ไม่เคยใจไม้ไส้ระกำกับจำปาเวลาหล่อนเดือดร้อน