ตอนที่่ 3
ที่ผ่านๆ มาแกเคยช่วยเหลือมาแล้วหลายครั้ง แม้แต่ตอนที่สามีของจำปายังมีชีวิตอยู่ก็เถอะ เดือนไหนที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง ขับแท็กซี่ได้เงินมาไม่พอจ่ายค่าเช่าบ้านเพราะบางวันก็เผลอแวะเข้าวงเหล้าเสียก่อน ก็ได้แกนี่แหละที่คอยให้หยิบยืมแก้ขัดเรื่อยมา
“ไม่ต้องกลุ้ม เอางี้… สิ้นเดือนนี้ข้าจะช่วยไปก่อน… แล้วเงินหมื่นกว่าๆ ที่ไอ้เชิดผัวเองเคยติดหนี้ตาเข้มผัวข้าเอาไว้ เดี๋ยวข้าจะไปขอให้ยกให้ บอกตรงๆ ว่าเห็นแล้วเวทนาเองว่ะ”
จำปายกมือไหว้ประหลกๆ ซึ้งในน้ำใจของป้าช้อย
“ไม่ต้องไหว้ข้า เพราะยังไงข้าก็คงช่วยเหลือเอ็งไม่ได้ตลอด ต่อจากนี้ไปเอ็งจะต้องลุกขึ้นมาสู้ด้วยลำแข้งของตัวเอง”
บอกแล้วป้าช้อยก็ถอนใจแรง
“แต่ป้าก็เห็นอยู่ว่าฉันก็ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง”
หล่อนตอบออกมาซื่อๆ
เพราะว่าหลายปีที่ผ่านมา สามีของหล่อนเป็นคนคอยหาเลี้ยงมาโดยตลอด จำปาไม่เคยทำงานหนัก อย่างมากก็แตะงานบ้านเบาๆ เพราะว่าตอนมีชีวิตอยู่ สามีของหล่อนก็ตามอกตามใจจนเสียนิสัย ทุกวันนี้จำปาก็ยังซื้อกับข้าวถุง ไม่เคยหุงหาด้วยตัวเอง เสื้อผ้าก็ส่งซักเป็นรายเดือนทั้งที่ควรจะทำเอง จนทุกวันนี้มือไม้ของหล่อนดูอ้อนแอ้นจนแตะงานหนักไม่ได้แล้ว
“เอ็งน่าจะลองไปหางานทำ”
ป้าช้อยแนะนำด้วยความหวังดี
“แต่ฉันไม่มีวิชาความรู้อะไรเลยนะป้า… และฉันก็ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง” จำปาพูดแล้วก็ถอนใจแรง
ใบหน้าสะสวยของหล่อนแลดูกลัดกลุ้มลงไปอีก เพราะตระหนักดีว่าคนที่เรียนจบแค่ชั้นประถม แถมยังทำงานอะไรไม่เป็นสักอย่าง นายจ้างที่ไหนจะรับเข้าทำงาน
“จริงของเอ็ง…”
ป้าช้อยครุ่นคิด นึกตำหนิสามีที่ตายไปแล้วของจำปา ที่ปล่อยให้หล่อนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ทำการทำงานอะไรเลย ทั้งที่ก็ไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขา
ป้าช้อยนิ่งอยู่ในอาการครุ่นคิด ครั้นแล้วก็รำพึงออกมาเบาๆ ว่า
“ผู้หญิงลักษณะอย่างเอ็งเนี่ยนะ…ถ้าจะทำงานมันคงไม่ยาก”
“ทำไมหรือป้า…”
หัวคิ้วของจำปาชิดเข้าหากันด้วยความสงสัย
ป้าช้อยยังไม่ตอบในทันทีทันใด แต่แกขยับออกมายืนมองหล่อน สายตาเพ่งพิศพิจารณาเรือนร่างของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ตรงหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“ทำไมมองฉันอย่างนั้นล่ะป้า…”
สายตาของป้าช้อยทำให้จำปารู้สึกประหลาดใจ
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าเอ็งเป็นผู้หญิงที่สวยมาก… เอ็งคงไม่รู้สินะว่าผู้ชายในย่านนี้มันอยากจะล่อเอ็งทั้งนั้น”
“ว้าย! บ้าน่ะ… พูดอะไรน่าเกลียด แล้วป้าไปรู้มาได้ยังไงล่ะว่าไอ้ผู้ชายคนไหนมันอยากจะล่อฉันบ้าง”
จำปานึกสงสัย หล่อนไม่ได้ถือสาในความเป็นคนพูดจาตรงๆ ของป้าช้อย
“แหม… เอ็งลืมไปหรือเปล่าว่าบ้านเช่าหลังเล็กๆ สิบกว่าหลังที่ปลูกรวมอยู่ในบริเวณเดียวกัน รั้วเดียวกัน ห่างแค่ผนังห้องกั้น มันจะแปลกอะไรวะ ถ้าทุกบ้านจะรู้ทุกเรื่องราวความเป็นไปของกันและกัน”
พูดไม่ทันจบแกก็หัวเราะคิกคักออกมาเสียเอง
“หัวเราะอะไรป้า…”
“เอ็งคงไม่รู้หรอกว่าพวกสอดรู้สอดเห็นน่ะมันเยอะ คนแถวนี้มันรู้แม้กระทั่งเรื่องลับๆ ในมุ้งของบ้านโน้นบ้านนี้…อิอิ”
“โอ๊ย… นี่ถึงกับแอบไปเปิดมุ้งดูตอนคนเอากันเลยหรือป้า ตลกละ… เรื่องแบบนี้จะไปรู้กันได้ยังไง”
พูดทั้งหัวเราะ จำปามองว่าเป็นเรื่องขำขันเสียมากกว่าจะคิดเป็นจริงเป็นจังอย่างที่ป้าช้อยว่า
“อุ๊ย… เอ็งไม่รู้อะไรซะแล้ว ก็ทำไมจะไม่รู้ล่ะ เพราะว่าวันดีคืนดีไอ้พวกผู้ชายที่ตั้งวงเหล้ากันบ่อยๆ แทบไม่เลือกวันโกนวันพระ พอเหล้าเข้าปากแล้วทีนี้ละมึงเอ๋ย… ก็หนีไม่พ้นคุยกันเรื่องใต้สะดือ”
ที่พูดออกไปอย่างนั้น เพราะว่าป้าช้อยรู้มาจากปากของลุงเข้มผู้เป็นสามีของแกนั่นเอง ว่าพอเหล้าเข้าปาก พวกผู้ชายก็คึกคะนอง เผลอเอาเรื่องในมุ้งออกมาเล่ามาแซวกันเหมือนเป็นของสนุกปาก ทำเอาหัวร่องอหายกันไปทั้งวงเหล้า
แต่มีอีกเรื่องนึงที่ป้าช้อยนึกสงสัย ก็ตอนที่ลุงเข้มเอามาคุยให้ฟังบ่อยๆ ว่าไอ้เชิดผู้เป็นสามีของจำปามักจะเอาของลับของหล่อนมาอวดอ้างว่าโพนทะนาสรรพคุณว่าสวยอย่างนั้น เด็ดอย่างนี้ ทำให้แกนึกอยากเห็นขึ้นมาตะหงิดๆ
จู่ๆ ป้าช้อยก็อยากพิสูจน์ความจริงว่าที่ลุงเข้มแอบเอามาบอกนั้นจะเป็นจริงสมคำร่ำลือของพวกวงเหล้าหรือเปล่า?
“เอ็งรู้หรือเปล่าว่าผู้หญิงแถวนี้หลายๆ คนนึกอิจฉาเอ็งไปตามๆ กัน”
แกเปรยขึ้นลอยๆ
“เอ้า… จะมาอิจฉาฉันเรื่องอะไรล่ะป้า”
“ก็ทั้งสะโพก อก เอว ของเอ็งมันดูเย้ายวนเหลือเกิน… พอมานั่งใกล้ๆ ข้าก็เห็นจริง ถึงได้รู้ว่าทำไมไอ้แก่ที่บ้านมันชอบแอบออกมายืนด้อมๆ มองๆ ตอนที่เอ็งก้มๆ เงยๆ กวาดบ้าน”
ป้าช้อยนึกย้อนไปถึงพฤติกรรมลามกของสามี