ตอนที่ 1
“รอยแผลพิศวาส”
“อะไรนะคะ…”
จำปานิ่งงันไปชั่วครู่ เมื่อได้ยินเสียงของอีกคนที่อยู่ปลายสาย เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล โทรมาแจ้งข่าวร้ายว่าเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นกับเชิดผู้เป็นสามีของหล่อน ภายหลังจากที่เขาขับรถแท็กซี่ออกจากบ้านไปเมื่อตอนเช้ามืด
“ไม่จริง…”
หล่อนนิ่งงันคล้ายตกอยู่ในอาการช็อคไปชั่วครู่ ในใจได้แต่ภาวนาขออย่าให้เขาเป็นอะไรมาก
มือไม้ทั้งสองข้างเบาหวิว สมองตืบตื้อจนคิดอะไรไม่ออก กระทั่งตอนที่โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือร่วงหล่นลงกระทบพื้นจนเกิดเสียงดัง สติของหล่อนจึงคืนกลับมา
จำปาหันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป หล่อนสูดหายใจแรงๆ จนสามารถระงับความตื่นตระหนกตกใจเอาไว้ได้ จึงตัดสินใจหันไปคว้าลูกน้อยซึ่งในขณะนั้นมีวัยเพียงหนึ่งขวบ กำลังนอนลืมตาแป๋วอยู่ในแปลขึ้นมาอุ้มเอาไว้แนบอก แล้วรีบก้าวยาวๆ ออกไปจากประตูบ้านเช่า ปากก็ร้องเรียกหญิงสูงวัยซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน อยู่ห่างกันเพียงฝาผนังกั้นเท่านั้นเอง
“ป้าช้อย… ป้าช้อย”
หล่อนตะโกนเสียงดังลั่น
“อุ๊ยตาเถรหำถอก… อะไรของเอ็งวะนังจำปา แหกปากซะดังลั่นเชียว” แกอุทานออกมาด้วยความเคยชิน
ครู่สั้นๆ ต่อมา…
ป้าช้อยก็ยื่นใบหน้าออกมาจากหน้าต่าง ชะโงกมองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของจำปาเต็มไปด้วยความกังวล
“เดี๋ยวกูนุ่งผ้าก่อน…”
ป้าช้อยมักจะแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ บางครั้งก็ ‘กู’ ผลิกผันไปตามสถานการณ์ของอารมณ์
อย่าหาว่าสัปดน เพราะว่าตอนนั้นป้าช้อยกำลังร่วมรักกับลุงเข้มผู้เป็นสามีอย่างถึงพริกถึงขิงอยู่พอดี
เสียงของจำปาทำให้แกต้องผละออกมาจากร่างของสามีแทบไม่ทัน ลุงเข้มชะเง้อคอมองอย่างแสนเสียดาย ขณะป้าช้อยรีบคว้าผ้าถุงมากระโจมอก แล้วก้าวออกจากบ้านไปด้วยใบหน้าชุ่มพราวไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“พี่เชิดค่ะ… พี่เชิดแย่แล้ว”
“อะไรแย่…”
แกย่นหน้าผากด้วยความเคยชิน
“ก็พี่เชิดผัวฉัน ตอนนี้อาการหนักอยู่ไอซียู”
“ตายห่า… คุณพระคุณเจ้าช่วย แล้วมันไปโดนอะไรเข้าล่ะ”
แกยกหลังมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดพราวอยู่ทั่วใบหน้า เสียงหายใจยังหอบฮั่ก เพราะเพิ่งเอ็กเซอร์ไซส์กับลุงเข้มมาหยกๆ
“รถแท็กซี่โดนจี้จ้ะ… ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วป้า ฉันฝากลูกด้วยนะ”
“ฮ้า…”
ทันทีที่ได้ยินข่าวร้าย ป้าช้อยก็ยกมือขึ้นทาบอก แกตกใจจนพูดไม่ออก รีบยื่นมือออกไปรับร่างจ้ำม่ำของลูกสาวหล่อนมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน
“ฉันไปก่อนนะป้า…”
“เออๆ… เอ็งรีบไปเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ เจ้าประคู้น… ขออย่าให้ไอ้เชิดมันเป็นอะไรเลย”
ป้าช้อยมองตามร่างของจำปา ที่กำลังก้าวยาวๆ ออกไปด้วยความรีบร้อน โบกมือเรียกรถแท็กซี่ที่บังเอิญแล่นผ่านมาพอดี
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล
ขณะนั้นอาการของคนไข้กำลังทรุดหนัก
“เข้าไม่ได้นะคะ”
เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ร้องห้ามเสียงดัง เมื่อเห็นจำปาทำท่าว่าจะผลักบานประตูเข้าไปข้างใน
ด้วยรู้โดยทั่วกันว่าห้องไอซียูนั้นเป็นพื้นที่ปลอดเชื้อ กระนั้นจำปาจึงทำได้แค่เพียงทอดสายตาเศร้าสร้อย มองผ่านกระจกบานกว้างออกไปยังร่างของเชิดผู้เป็นสามี ที่ทอดร่างแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ ลมหายใจรวยริน ไม่รับไม่รู้
แค่ประเมินด้วยสายตา หล่อนก็พอจะรู้ว่ามันดูเลวร้ายกว่าที่คิดเอาไว้มาก
จำปาได้แต่นิ่งภาวนาอยู่ในใจ ภาพที่สะเทือนใจนั้นทำให้หล่อนไม่อาจสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้กับสิ่งที่เห็น ศีรษะของเขาถูกโกนเกลี้ยงจนเห็นรอยแผลอันเกิดจาการผ่าตัดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเลือดจำนวนมากที่ยังคั่งอยู่ในสมอง ภายหลังจากโดนของแข็งกระหน่ำทุบเข้าอย่างจัง
รอยเย็บปรากฏอยู่รอบศีรษะของเขา สายยางเส้นเล็กๆ ระโยงระยางมาจากอุปกรณ์ช่วยชีวิตทั้งหลาย หล่อนมองไม่ออกหรอกว่าอะไรเป็นอะไร จะมีก็แต่นายแพทย์ผู้ยืนสังเกตอาการของเขาอยู่ใกล้ๆ… ที่รู้ว่าเส้นกราฟที่แสดงอัตราการเต้นของหัวใจกำลังอ่อนล้า ริบหรี่ดั่งปลายเทียนที่อ่อนแสงลงทุกที
“ไม่น่าเลยพี่… ฮือออ”
จำปาสะอึกสะอื้น ไม่คิดว่าการได้เจอหน้ากันเมื่อตอนเช้ามืด จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างเธอกับสามี
หล่อนเตือนแล้วเตือนอีก ว่ารอให้สว่างเสียก่อนแล้วค่อยออกไป ก็รู้กันอยู่ว่าอาชีพขับรถแท็กซี่กลางค่ำกลางคืนมันอันตราย
ซึ่งครั้งนี้คงเป็นคราวเคราะห์ของเขาจริงๆ เพราะว่าที่ผ่านๆ มา เชิดก็มักจะขับรถออกไปตระเวนหาผู้โดยสารในตอนสายๆ เพียงแต่เมื่อเช้ามืดของวันนี้… ไม่รู้ว่าภูติผีหรือปีศาจตนใดที่ดลจิตดลใจให้เขาออกไปตั้งแต่ตอนที่ตีนฟ้ายังไม่เปิด กระทั่งมาโดนจี้ชิงทรัพท์และถูกทำร้ายร่างกาย อาการเป็นตายเท่าๆ กันอย่างที่จำปาได้เห็นกับตาตัวเองอยู่ในตอนนี้
อีกหลายนาทีผ่าน…
ชั่วโมงรอคอยอันยาวนานและแสนทรมานสำหรับหล่อนได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อได้ยินเสียงคลายลูกบิดประตูห้องไอซียู