14 ประตูสู่ความลับ
สิงขรมองใบหน้าซีดเซียวของเกตุศิรินทร์อย่างพิจารณา สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นและความลังเลที่ฉายชัดในดวงตาเศร้าสร้อยนั้น ทว่าภายใต้ความหวาดกลัวนั้น เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของความลังเล ราวกับเธอมีบางสิ่งปกปิดไว้ ไม่กล้าที่จะเปิดเผยออกมาทั้งหมด
“คุณเกตุ ไม่ต้องกลัวนะครับ ถ้าคุณรู้เห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ บอกพวกเรามาได้เลย” สิงขรเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ทว่าหนักแน่นราวกับตอกย้ำความจริง เกตุศิรินทร์เงียบงันไปชั่วครู่ ดวงตาคู่สวยสั่นระริกเล็กน้อย ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างความปลอดภัยของตนเองกับความปรารถนาที่จะให้ความยุติธรรมปรากฏ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อนเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“คืนก่อนเกิดเหตุ... ฉันเห็นคุณชานนท์เข้าไปในห้องของคุณสุริยาวดีค่ะ... แต่ก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าเขากลับไปตอนไหน” เธอหยุดคำพูด ราวกับกำลังประเมินปฏิกิริยาของพวกเขา
“หมายถึงห้องนอนเหรอครับ?” คมกฤชแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงบ่งบอกถึงความสนใจในรายละเอียด
“ค่ะ...” เกตุศิรินทร์ตอบรับเสียงเบาหวิว ถ้อยคำนั้นจุดประกายความสงสัยในความคิดของสิงขรและคมกฤช ความสัมพันธ์ระหว่างเหยื่อกับผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งดูจะแนบแน่นเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้
“คุณคิดว่าคุณสุริยาวดีเกี่ยวข้องกับการตายของชานนท์ไหมครับ?” สิงขรถามตรงประเด็น ไม่ต้องการเสียเวลาไปกับคำถามอ้อมค้อม เกตุศิรินทร์หลับตาลงช้าๆ ราวกับกำลังรวบรวมความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริงอันน่าสะพรึงกลัว
“ฉัน... ฉันไม่รู้ค่ะ... แต่... ฉันรู้สึกว่าคุณสุริยาวดีเธอทำตัวแปลกๆ”
“ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น?” สิงขรถามอย่างใคร่รู้ ต้องการเจาะลึกถึงมูลเหตุแห่งความสงสัย
“ฉันเคยเห็นเธอทำอะไรแปลกๆ ในตอนกลางคืน... เหมือนเธอจะลงไปทำอะไรบางอย่างที่ห้องใต้ดิน” เกตุศิรินทร์หยุดพูดอีกครั้ง ราวกับภาพในความทรงจำยังคงแจ่มชัด
“แล้วมีอะไรที่ผิดสังเกตไหมครับ?” คมกฤชเร่งเร้า ต้องการข้อมูลที่จะนำไปสู่การคลี่คลายคดี
เกตุศิรินทร์กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “มีอยู่ครั้งหนึ่ง... ฉันเห็นเธอขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน... เลือดเปื้อนมือเธอเต็มไปหมด”
คำสารภาพนั้นราวกับจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ต่อเติมภาพในหัวของสิงขรและคมกฤช “เลือด!?” สิงขรอุทานด้วยความตกใจ เกตุศิรินทร์พยักหน้าช้าๆ ดวงตาฉายแววหวาดหวั่น
“ฉันไม่แน่ใจว่ามันคือเลือดจริงๆ หรือเปล่า... แต่มันทำให้ฉันกลัวมาก” ข้อมูลนั้นสอดคล้องกับร่องรอยที่พวกเขาพบเมื่อก่อนหน้านี้ รอยเลือดจางๆ และเงาดำที่พยายามทำลายศิลาจารึก ทุกอย่างชี้ไปยังสุริยาวดี
“คุณพอจะพาพวกเราไปดูห้องใต้ดินอีกครั้งได้ไหมครับ?” สิงขรถามอย่างรวดเร็ว เกตุศิรินทร์ลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะพยักหน้าอย่างจำใจ
“ได้ค่ะ...”
เกตุศิรินทร์นำทางพวกเขาลงสู่ห้องใต้ดิน บรรยากาศเย็นเยียบและอับชื้นยังคงปกคลุมพื้นที่ สิงขรตรงไปยังจุดที่พบรอยเลือดเมื่อคืน ก้มลงสำรวจพื้นปูนซีเมนต์อย่างละเอียด
“ตรงนี้...” สิงขรชี้ไปยังรอยเปื้อนสีคล้ำ “มันคือรอยเลือดจริงๆ”
คมกฤชกวาดสายตาไปทั่วห้อง ก่อนจะสะดุดกับประตูเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่หลังชั้นวางของ “ไอ้สิงห์ ดูนี่!”
พวกเขาพบประตูลับ สิงขรลองผลักเบาๆ แต่มันถูกล็อกจากด้านใน “เราต้องเปิดประตูนี้” สิงขรหันมาบอกเพื่อ
“เราจะเปิดมันยังไง?” คมกฤชถาม
สิงขรเหลือบมองเครื่องมือช่างเก่าๆ บนโต๊ะ “เราอาจจะใช้พวกนี้ได้”
ขณะที่สิงขรกำลังเลือกเครื่องมือ เกตุศิรินทร์กระซิบด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น “คุณตำรวจคะ... ฉันรู้สึกไม่ดีเลยค่ะ เหมือนมีใครกำลังจับจ้องพวกเราอยู่” สิงขรรู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน
“ระวังตัวกันด้วย” สิงขรเตือน ทันใดนั้น ประตูลับก็ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นความมืดมิดเบื้องหลัง...
ความมืดมิดปกคลุมอยู่หลังประตูลับ ราวกับกลืนกินทุกสิ่ง สิงขรชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหยิบไฟฉายที่พกติดตัวส่องเข้าไป แสงสีขาวสว่างวาบตัดผ่านความมืด เผยให้เห็นทางเดินแคบๆ ที่ทอดลึกลงไป
“มันมีทางลงไปอีก!!!!...” คมกฤชพึมพำ มองเข้าไปในความมืดด้วยความสงสัย
เกตุศิรินทร์ยืนตัวสั่นเทาอยู่ด้านหลัง
“ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามีทางลับแบบนี้อยู่ในคฤหาสน์” สิงขรหันไปมองเธอ
“คุณเกตุพอจะจำได้ไหมว่าคุณสุริยาวดีเคยลงไปข้างล่างนี้เมื่อไหร่?”
เกตุศิรินทร์ใช้ความคิดครู่หนึ่ง
“ไม่แน่ใจค่ะ...แต่น่าจะเดือนที่แล้ว ฉันได้ยินเสียงแปลกๆ มันดังมาจากทางนี้ ก็เลยออกมาดู”
สิงขรพยักหน้า เขาหันกลับไปมองทางเดินมืดมิดเบื้องหน้า ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่าเบื้องล่างนั้นอาจมีคำตอบของทุกสิ่งซ่อนอยู่
“เราต้องลงไปดู” สิงขรตัดสินใจ
“มึงแน่ใจเหรอไอ้สิงห์? ข้างล่างนั่นอาจจะมีอะไรรอเราอยู่ก็ได้” คมกฤชกล่าวด้วยความกังวล
“เราไม่มีทางเลือกอื่น” สิงขรตอบเสียงหนักแน่น
“ถ้าสุริยาวดีมีความลับซ่อนไว้ ที่นี่แหละคือที่ที่เราจะพบมัน”
สิงขรก้าวเท้าลงบันไดแคบๆ ที่ทอดนำลงสู่ความมืด คมกฤชและเกตุศิรินทร์เดินตามลงมาอย่างระมัดระวัง บรรยากาศยิ่งเย็นเยียบและอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอับชื้นและกลิ่นดินเก่าๆ คละคลุ้งอยู่ในอากาศ
เมื่อลงมาถึงด้านล่าง พวกเขาก็พบกับห้องโถงใต้ดินอีกห้องหนึ่ง ห้องนี้กว้างกว่าห้องใต้ดินด้านบน ผนังเป็นหินเก่าแก่ มีคบไฟติดอยู่ตามผนังแต่ส่วนใหญ่ดับมอดไปแล้ว ทำให้แสงสว่างมีเพียงเล็กน้อย
สิงขรกวาดแสงไฟฉายไปรอบๆ ห้อง พวกเขาพบโต๊ะหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง บนโต๊ะมีหนังสือเก่าแก่หลายเล่ม กระดาษที่มีตัวอักษรโบราณเขียนอยู่ และสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึงคือ... แท่นบูชาหินที่มีร่องรอยของคราบเลือดแห้งกรัง
“นี่มัน!!!...” คมกฤชอุทานเสียงแผ่ว มองไปยังแท่นบูชาด้วยความตกใจ
เกตุศิรินทร์เบิกตากว้าง ใบหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม
“นี่มันอะไรกันคะ?”
สิงขรเดินเข้าไปใกล้แท่นบูชาอย่างช้าๆ เขาก้มลงพิจารณาร่องรอยคราบเลือดอย่างละเอียด
ทันใดนั้นเอง แสงไฟฉายของสิงขรก็สาดส่องไปกระทบกับวัตถุบางอย่างที่มุมห้อง มันคือ... มีดโบราณเล่มหนึ่ง ด้ามทำจากกระดูกสัตว์ มีลวดลายประหลาดสลักอยู่ และที่ปลายมีด... ยังคงมีคราบเลือดติดอยู่
สิงขรค่อยๆ เดินเข้าไปหยิบมีดเล่มนั้นขึ้นมา เขารู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวมีด มันเย็นเยียบและน่าขนลุก
“นี่อาจจะเป็นอาวุธที่ใช้ในการฆาตกรรม...” สิงขรกล่าวเสียงต่ำ ดวงตาจ้องมองมีดโบราณในมืออย่างไม่วางตา
ในขณะนั้นเอง เงาดำทะมึนก็ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าห้องลับด้านบน มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ...
“ข้างบนนั่นมีใคร!” คมกฤชตะโกน พร้อมกับชี้มือไปยังทางที่เงาดำปรากฏ
สิงขรรีบหันขวับไปมอง หัวใจของเขากระตุกวูบ... เงาดำนั้น... ดูคุ้นตาอย่างประหลาด
