บทที่3 ตอน “ย้อนอดีต(3)" 1
“รุ่งอรุณ...”
“เอ้กอีเอ้กเอ้กๆๆ...” เสียงไก่หลายตัวที่ชายหนุ่มเลี้ยงไว้มันต่างพากันขันรับแสงอรุณยามเช้า บนขอนไม้ยังมีคนร่างสูงนั่งขาไขว่ห้างรับลมเย็นยามเช้าอยู่นอกกระท่อมกลางป่า มือข้างขวาถือกระป๋อง ข้างในมีอาหารของไก่ชน เขาโรยเมล็ดข้าวโพดแห้งไปตามพื้นดิน
“ก้อกก...เก๊าะๆ...จิ้บบ...จิ๊บๆ...เก๊าะๆ...” เสียงไก่ไม่ว่าจะตัวเมียตัวผู้หรือลูกเจี๊ยบต่างพากันขุ้ยเขี่ยจิกกินเม็ดข้าวโพด ไก่ตัวผู้ขันหาตัวเมียต่างก็ร้องขันเกลี้ยวพาราศรี บ่างก็พากันตีปีกพรึบๆ พรับๆ
สิงโตเงยหน้าจากพวกไก่ เขาหันไปมองรอบข้างมองดูต้นข้าวโพดที่ปลูกเป็นแนวขึ้นสูงท่วมหลังคากระท่อมหลังน้อย ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาสวมแค่กางเกงยีนส์เก่าๆ ขาดๆ เพียงตัวเดียว ใบหน้าคมคายหล่อเหลาในแบบฉบับของชายไทยที่มีความรู้จบมอ 6 เขาเลือกที่จะทำไร่ทำนามากกว่าจะเรียนต่อเหมือนเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกัน ใบหน้าคมสันผิวสีแทนตรงปลายคางรวมทั้งช่วงโหนกแก้มมีเคราขึ้นเต็มเป็นต่อๆ สั่นๆ สีดำ เขาดูเคร่งขรึมยามครุ่นคิดถึงร่างอวบอั๋นที่ชายหนุ่มลงทัณฑ์เธอตั้งแต่ช่วงเย็น
ชายหนุ่มยกยิ้มตรงมุมปาก คำว่าสะใจมันขัดกันกับใจของเขา ใจหนึ่งก็สงสาร ใจหนึ่งก็อยากทำให้เธอเจ็บทรมาน ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไรมั่ง เมื่อคืนเขาเล่นทำร้ายร่ายกายของเธอทั้งๆ ที่ยังหมดสติ เห็นสลบแล้วสลบอีก
“เฮ้ยย !!...” ปากหยักพ้นควันบุหรี่ที่อัดเข้าไปครั้งแล้ว ครั้งเล่า พร้อมทั้งถอนหายใจอย่างเจ็บปวดหัวใจอยู่ไม่น้อย สายตาเข้มก็ก้มมองดูตัวเอง เรียวนิ้วใหญ่ลูบผิวเนื้อตรงหน้าอก ไล้ไปตามตัว ไม่ว่าจะเป็นลำแขนอันแน่น แม้แต่ใบหน้าของเขา มันมีแต่รอยขีดข่วนจากเล็บยาวๆ ของนางมารร้าย ทั้งเจ็บ ทั้งแสบ คันๆ ดีเหลือหลาย
สิงโตมองความเขียวขจีของพงไพรตามแนวเขาสูงใหญ่ลอมรอบ ไร่ข้าวโพดขึ้นสูงออกฝัก ที่ปลูกเต็มพื้นที่ดินกว่า200ไร่ เขายกมือสองข้างขึ้น กางออกแล้วเสยผมตรงหน้าผาก แล้วลูบหน้าไปมา หูก็กระดิกเหมือนหูหมาทันที เพราะเสียงสะอึกสะอื้นดังออกมาจากในกระท่อม คนตัวโตลุกขึ้นยืน แล้วดีดก้นบุหรี่ลงพื้นใช้ปลายเท้าที่ห่อหุ้มด้วยรองเท้าผ้าใบบดขยี่เพื่อดับไฟบนก้นบุหรี่ เขาถอนหายใจยาวๆ แล้วหันหน้าไปมองตามเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ สองเท้าก้าวเดินไปหยุดยืนตรงหน้าประตูกระท่อม
“โครม !!...” คนร่างสูงยกเท้าถีบประตูไม้ไผ่ แล้วเดินเข้าไปหยุดยืนจังก้า ตาสีเข้มมองร่างอวบที่นอนตะแคงหันหลัง แผ่นหลังบางโผล่พ้นออกมาจากผ้าหม่ ทำให้เห็นรอยช้ำเขียวเป็นจ้ำๆ ร่างของเธอสั่นไหวเพราะร้องไห้ ไร้เสื้อผ้าปกปิด
“พร !... พร !...พรพรรรณ!!...” เสียงสิงโตคำรามเรียกชื่อหญิงสาว ดังขึ้นอยู่กลางห้อง ใบหน้าเข้มทมึงทึงจ้องมองแผ่นหลังของเธออยู่ไม่ว่างตา
“พิ...พี่โต...” พรพรรณสะดุ้งตื่นกลัวคนตัวโตที่ยื่นจ้องมองเธออย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เธอหันหน้าไปมอง แล้วรีบขยับตัวลุกอย่างยากลำบากปวดเนื้อปวดตัวไปหมด
“หูตึงหรือไง...ฉันเรียกไม่ได้ยินเหรอ” ชายหนุ่มที่จะคิดหาเรื่องดุด่าว่าร้ายเธอ ก็ยังสรรหาเอาสิ่งผิดเล็กๆ น้อยๆ มาใส่ความเธอได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเธอจะเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างทารุณก็ตาม เขาก็หาว่าเธอผิดอยู่ดี
“คะ ?” มือเรียวบางจับปลายผ้าหม่กระชับแน่นปกปิดร่างนวลไว้ ความหวาดกลัวลนลานในตัวชายหนุ่ม มันยังฝังใจ เลยทำให้เธอรีบคลานหนีคนใจร้าย จนร่างอวบชนเข้ากับฝาไม้ด้านหัวที่นอน มืออีกข้างยกขึ้นเช็ดน้ำตาตรงพวงแก้มที่มีรอยช้ำนิดๆ เจ็บช้ำไปทั้งตัวและหัวใจ เขาทำร้ายเธอเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง
“ฟื้นแล้วเหรอ...” เสียงเข้มตะเบ็งถาม สายตาเพชฌฆาตก็มองร่างอวบที่กำลังคลานหนี ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมีแต่รอยช้ำรอยรัก ไหนจะตรงมุมปากบางเขียวช้ำและแตกยังมีเลือดไหลซึมนิดๆ
“พิ...โต...ฮืออ...อึกก...” ร่างอวบสั่นเล็กน้อย เพราะเธอสะอึก เธอกลัวเขาจับใจ แววตาอันพร่ามัวเพราะมีน้ำตาเกาะติดมองชายหนุ่มตรงหน้า สองสายตาประสานกัน อีกสายตาหนึ่งมองอย่างอ้อนวอนขอร้อง อีกสายตาหนึ่งมองอย่างสมเพชดูหมิ่น
“คิดว่าตายเสียแล้ว” สิงโตยืนท้าวสะเอวจ้องมองร่างอวบที่แนนชิดกับฝาผนังไม้ไผ่ ผมที่ยาวสลวยถึงเอวคอด มันดูยุ่งเหย่ง น่าสมเพชจริงๆ จากลูกคุณหนูของลุงกำนันปั่น ผู้รักสวยรักงามเย่อหยิ่งและถือตัว แต่ขณะนี้เธอเปรียบเสมือนโสเภณีในไร่ข้าวโพดดีๆ นี่เอง
“ยะ...อย่าทำอะไรพรนะ...อึกก” ปากคอสั่นเปรยบอกชายหนุ่ม สายตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตามองคนร่างสูงที่ก้าวเดินเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ แล้วหยุดยืนตรงปลายแคร่
“จะร้องไห้อะไรนักหนาฮ่ะ ทำยังกับคนเพิ่งเสียสาว...ฉันได้ยินเสียงเธอแล้วมันทุเรศ มานี่” มือเพชฌฆาตเอื้อมไปจับปลายเท้าอวบแล้วกระชากอย่างแรง ให้ร่างของเธอลอยเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
“กรี๊ดดด !!...อย่าทำพร...กลัวแล้ว...ฮืออ” พรพรรณยกมือขึ้นผลักดันคนร่างหนาให้ออกห่าง ตัวเธอสั่นกลัวอยู่ในวงแขนอันแน่นหนา
