บทที่ 3 แก้วตาดวงใจของแม่กุ๊บกิ๊บ
“มึงรู้ได้ยังไงว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกพี่ป้อง มีคนบอกมึงเหรอ”
เกริกวิทย์วางแก้วเหล้าที่ผสมเสร็จแล้วลงตรงหน้าของเพื่อนรัก คืนนี้เขาคิดจะขับรถไปหาอาณัติที่โรงแรม ก่อนที่เพื่อนจะกลับต่างจังหวัดในวันพรุ่งนี้ ตั้งใจจะนั่งกินเหล้าพูดคุยให้สมกับไม่เจอตัวเป็นๆ มาหลายปี แต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เจ้าตัวจะโผล่หัวมาหาเขาเอง
“ทำไมต้องให้ใครบอก แค่มองกูก็รู้แล้วว่าเด็กหัวหย็องนั่นเป็นลูกของคนบ้านนั้น หน้าตาคล้าย...”
แวบแรกที่เห็นเด็กชาย อาณัติรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด แต่พอนึกว่าเด็กนั่นเป็นลูกของปกป้อง มันก็ตอบคำถามที่ผุดขึ้นมาให้เขาไปหมดแล้ว
“เด็กคล้ายพี่ป้องเหรอ”
“คงงั้น”…พี่น้องกัน หน้าตาก็ละม้ายคล้ายกันแหละน่า
“ว่าแต่หัวหย็องด้วยเหรอ พี่ป้องไม่ได้หัวหย็องนา หรือจะเป็นดีเอ็นเอจากฝั่งแม่”
ว่าจะเลิกคิดเรื่องนี้ แต่เพื่อนก็ผุดคำถามใหม่มาให้เขาอีก...ผมของเด็กคนนั้นแค่หยักศก และเมื่อมันอยู่กับเจ้าตัวก็แลดูน่ารักดี ผมพองๆ ยุ่งเหยิงกับแก้มป่องใสและดวงตากลมดำขลับ
“เออ ช่างเถอะ เด็กก็ไม่ได้เหมือนพ่อกับแม่ราวพิมพ์ออกมาอยู่แล้ว อาจเป็นพวกยีนเด่นยีนด้อยที่แฝงมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้วดันมาโผล่ในรุ่นลูกหลานจนดูผิดฝูงไปบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา”
คนจุดประเด็นให้สงสัยเป็นคนให้คำตอบเองเสร็จสรรพ แต่มันกลับคาใจของอาณัติไปเสียแล้ว
“มึงรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคนบ้านนี้อีก”
“ไม่เห็นมึงพูดถึงพวกเขาตั้งนาน คิดว่าลืมไปหมดแล้ว”
“แค่อยากรู้”
“ได้ยินว่าพี่ป้องย้ายไปอยู่ทางใต้ แล้วเขาก็มีแฟนที่นั่น กูไม่รู้ว่าเด็กที่มึงเห็นเป็นลูกจากแฟนคนนี้หรือเปล่า”
“ถ้าเขากับแฟนไม่มีปัญหากัน แล้วจะเอาลูกมาทิ้งไว้ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นทำไม มันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่จะเลี้ยงเด็กสักคนให้โตขึ้นมา...ถ้ากูมีลูก กูไม่ปล่อยลูกกูไว้แบบนั้นแน่”
“มึงก็พูดง่ายไป คนมีทางเลือกดีๆ ก็ไม่มีใครอยากอยู่ในที่ที่ไม่ดีหรอก...ว่าแต่สิ่งแวดล้อมที่พูดถึง มันเป็นยังไงวะ”
“คล้ายชุมชนเข้าไปทุกที”
อาณัติให้นิยามสั้นๆ หากมองอีกมุมก็คล้ายหมู่บ้านร้างในหนังสยองขวัญไม่ผิดเพี้ยน เงียบและเก่าโทรม ไร้การดูแล แม้แต่หน้าบ้านหลังเป้าหมายที่เขาไปในวันนี้ ประตูรั้วยังมีสนิมเกรอะจนเขาแทบไม่กล้าแตะเพราะกลัวบาดทะยัก
ชายหนุ่มกำลังคิดขำๆ สมองของเขามีแต่บรรยากาศรอบๆ บ้านหลังที่แวะเวียนไปหากับเด็กชายแก้มกลมหัวหย็องคนนั้น
“น้องกุ๊บกิ๊บล่ะ เจอเขาหรือเปล่า”
มันห้ามไม่ให้เขาหยุดชะงักไม่ได้ มือที่กำลังหยิบแก้วเหล้าของอาณัติค้างกลางอากาศ…
“เมื่อกี้มึงถามถึงคนบ้านนั้นเอง กูก็เลยพูดถึงน้องเขาด้วย”
“กูไม่ได้ว่าอะไร” อาณัติไหวไหล่เมื่อตั้งตัวได้ “กูไม่เจอเขา แล้วมึงรู้เรื่องของเขาบ้างไหม”
“ไม่รู้ว่ะ ไม่ได้รู้จักใครที่จะเชื่อมไปหาน้องเขาสักคน ส่วนที่กูพอรู้เรื่องของพี่ป้องก็เพราะอาศัยเงี่ยหูฟังในวงเหล้าเวลามีคนพูดถึงนี่แหละ”
เพราะปกป้องเป็นรุ่นพี่ในคณะของพวกเขา มันจึงง่ายที่จะรู้ความเคลื่อนไหว แม้เจ้าตัวอาจไม่ยินยอมก็ตาม ส่วนคนเป็นน้องสาวนั้น อาณัติไม่แน่ใจว่านอกจากเขาและเกริกวิทย์ ยังมีใครรู้จักเธออีก
“มีลูกผัวไปแล้วมั้ง”
อาณัติปิดการสนทนาเกี่ยวกับคนบ้านนั้นด้วยคำนี้ เมื่อเขาไม่พูดถึงเด็กชายและสองพี่น้องนั่นอีก คนเป็นเพื่อนก็พร้อมจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องใหม่เช่นกัน
“เขาบอกว่าชื่ออาณัติจริงๆ พี่ฟังไม่ผิดหรอก เขาจะมาเอาของที่ฝากไว้ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร พอเห็นว่าไม่มีผู้ใหญ่อยู่บ้านสักคน มีแต่เด็กเล็กคนเดียว เขาก็เลยฝากบอกไว้ว่าวันหลังจะมาใหม่”
คำยืนยันจากคนร่วมหมู่บ้านที่อยู่ในซอยถัดไปซึ่งบังเอิญผ่านมาเห็นเหตุการณ์เมื่อวานนั้นทำให้มือของไปรยาเย็นเฉียบ…หลังจากที่หล่อนได้ฟังลุงชัชที่อยู่บ้านหลังติดกันเล่าไปรอบหนึ่งแล้ว
‘เพื่อนเจ้าป้องแวะมาตอนกุ๊บกิ๊บไม่อยู่ เลยเจอแต่เจ้าอชิ แหม! คนของเราวางก้ามเป็นนักเลงโตคุยกับเขาเชียว’
ในทีแรกไปรยาปลอบตัวเองว่าคนคนนั้นอาจเป็นใครอื่นที่ไม่ใช่เขา...แม้ลุงชัชจะบรรยายรูปร่างหน้าตาของเขาให้ฟังอย่างละเอียดแล้วก็ตาม เพราะเพื่อนของปกป้องมีหลายคน แถมบางช่วงคนที่ไม่ใช่เพื่อนก็ยังแวะเวียนมาถามถึงเขา แต่ยังโชคดีที่คนเหล่านั้นไม่ได้คุกคามเธอกับลูกชาย
“กิ๊บขอบคุณพี่มากนะคะที่ช่วยเป็นหูเป็นตา กิ๊บคงต้องย้ำอชิไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า แล้วกิ๊บจะดูแลลูกให้ดีกว่านี้ค่ะ”
นึกไปก็ใจหาย ถึงแม้ผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนอื่น ไม่ใช่คนที่หล่อนกำลังนึกกลัว แต่นับว่าเป็นอันตรายกับลูกชายของหล่อนอยู่ดี
“ดีแล้ว พี่เห็นท่าทางของอชิไม่กลัวอะไรเลย ทำท่าจะพุ่งไปหาเขาด้วยซ้ำ จนพี่ต้องเข้ามาดูนี่แหละ ผู้ชายคนนั้นหน้าตาดี เรียกว่าหล่อเลยแหละ แต่ยังไงก็ไว้ใจไม่ได้ อชิอยู่ในวัยที่มีความคล่องตัวสูง บางวันพี่เห็นปั่นจักรยานไปรอบหมู่บ้าน ไม่รู้แอบหนีออกไปหรือเปล่า แถมยังวิ่งเร็วปรู๊ดปร๊าด แต่เด็กก็คือเด็ก เขายังระวังตัวไม่เป็น น้องกิ๊บต้องคอยดูแลไม่ให้คลาดสายตา”
เพื่อนบ้านที่มีลูกชายวัยโตกว่าอชิระไม่กี่ปีบอกคุณแม่ยังสาว เมื่อวานเธอเข้ามาดูเด็กชายด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ที่ไม่อาจเพิกเฉย
เมื่อเสร็จธุระของตน ผู้หญิงคนนั้นก็เดินกลับบ้านของตัวเอง ส่วนเจ้าของบ้านหลังสีฟ้าที่มีรอยสีกระดำกระด่างจนทั่วบ้านก็เปิดประตูรั้วเข้าไปข้างใน โดยไม่ลืมล็อกกุญแจอย่างเรียบร้อย
ไปรยาเห็นดวงหน้าเล็กกลมโผล่มามองจากกรอบประตูบ้าน…ชะรอยเจ้าตัวน้อยจะรู้ว่าตนได้ทำบางสิ่งที่สร้างความไม่สบายใจให้กับแม่แล้ว
หญิงสาวหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ไม้หน้าบ้าน ซึ่งปกติมันเป็นที่นั่งเล่นชั้นดีของลูกชาย แล้วเรียกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน
“อชิ มาหาแม่มาลูก”
อชิระเดินไปหาแม่ตามคำเรียก แล้วเบียดกายเล็กเข้าไปหาด้วยท่าทีประจบ จนหัวใจของคนเป็นแม่อ่อนยวบ
ไปรยาไม่เคยโกรธหรือโทษลูกสักที ไม่ว่าลูกทำสิ่งใดลงไป เพราะหล่อนถือเป็นความรับผิดชอบของตัวเองทั้งสิ้น หญิงสาวลูบใบหน้าชื้นเหงื่อของลูกอย่างแสนรัก เพ่งพิศดวงหน้าเล็กด้วยหัวใจไหววูบ
“เมื่อวานตอนที่แม่ไม่อยู่ มีคนมาที่บ้านเราหรือจ๊ะ”
“ครับ”
“อชิรู้จักเขาไหม”
เด็กชายส่ายหน้าหวือ หากประกายบางอย่างในดวงตากลมทำให้ไปรยาต้องเอียงคอมอง แล้วถามนำทาง
“มีอะไรจะเล่าให้แม่ฟังไหม”
“อชิโป้งคุณลุง”
“เขาทำให้ลูกโกรธหรือจ๊ะ”
อชิระพยักหน้าหงึกๆ แล้วมุ่นคิ้วคิด ด้วยกำลังเรียบเรียงเหตุผลเพื่อบอกแม่
“อชิจะเข้าบ้าน แล้วคุณลุงมาขวาง...ไม่ให้อชิเข้าครับ”
“แล้วลูก เอ่อ...คุยกับเขาด้วยไหม”
“คุยเยอะแยะเลยครับ”
บอกแม่ว่าคุยเยอะแยะ แต่เจ้าตัวเล็กก็ต้องใช้ความคิดอีกนั่นแหละว่าพูดคุยอะไรกับคุณลุงคู่ปรับไปบ้าง
ส่วนไปรยา เมื่อสังเกตเห็นท่าทีฮึดฮัดของลูกชาย หล่อนก็ไม่อยากให้เจ้าตัวเค้นหาคำตอบ หากก็พยายามบอกลูกให้ระมัดระวังตัวจากคนแปลกหน้าตามที่ตั้งใจไว้
“ถ้าลูกไม่ชอบคุยกับเขา เขาทำให้ลูกโกรธ ลูกก็ไม่ต้องคุยกับเขาอีก”
“ถ้าคุณลุงมาที่บ้านเราล่ะครับ”
“อชิไม่รู้จักเขา เขาจึงเป็นคนแปลกหน้าของอชิ แม่เคยบอกอชิว่าอย่าพูดคุยกับคนแปลกหน้า ดังนั้นถ้าเขามาที่บ้านเราอีก ให้อชิอยู่ข้างในบ้าน อย่าออกไปเจอเขา แต่ถ้าอชิเจอเขาข้างนอกบ้าน ให้อชิหนีให้ห่างจากเขา”
“คุณลุงเป็นคนร้ายหรือครับ”
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน...แต่เราไม่รู้จักเขา แม่ก็เลยกลัวว่าเขาจะทำให้อชิไม่ได้อยู่กับแม่”
ไปรยาพูดคำนี้กับลูกชายเสมอ ไม่ให้เขาคุยกับคนแปลกหน้า ด้วยเหตุผลว่าคนแปลกหน้าอาจทำให้เขาไม่ได้อยู่กับแม่...ซึ่งอชิระก็กลัวเรื่องนี้จนสุดหัวใจ กลัวที่ต้องห่างกัน ไปรยาไม่อยากให้ลูกเกิดความรู้สึกกลัวขนาดนั้น แต่เธอก็จำเป็นต้องทำ เพราะหวั่นเรื่องความปลอดภัยของลูก
ที่ผ่านมาอชิระทำตามคำสอนของหล่อนเป็นอย่างดี เจ้าตัวไม่สุงสิงกับคนไม่รู้จัก แต่ไปรยาไม่รู้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ลูกชายของหล่อนจึงคุยอยู่กับเขาเป็นนานสองนาน...ทำไมอชิระไม่ถอยไปห่างๆ เหมือนเช่นคนแปลกหน้าคนอื่น
“อชิไม่กลัวคุณลุงครับ แต่อชิโป้งคุณลุง”
เสียงเล็กๆ จากลูกชายทำให้หญิงสาวไม่ต้องคิดหาคำตอบนาน หากกลับจุดความกลัวขึ้นในหัวใจของหล่อนแทน
เขากลับมาจากอเมริกาแล้วเหรอ...เป็นเขาจริงๆ ใช่ไหม
แม้ไม่อยากให้เป็นความจริง แต่ไปรยาคงต้องทำใจยอมรับ เพราะไม่มีเหตุผลที่ใครจะแอบอ้างชื่อเขากับเพื่อนบ้านของหล่อน