บทที่ 4 แก้วตาดวงใจของแม่กุ๊บกิ๊บ
คนที่ไปรยากลัวสุดหัวใจว่าเขาจะมาที่บ้านอีกนั้นกลับเงียบหายไป หากแทนที่จะสบายใจ หญิงสาวกลับรู้สึกกังวล เป็นเพราะคำพูดของเขาที่ฝากไว้กับเพื่อนบ้าน
‘...เขาจะมาเอาของที่ฝากไว้ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร พอเห็นว่าไม่มีผู้ใหญ่อยู่บ้านสักคน มีแต่เด็กเล็กคนเดียว เขาก็เลยฝากบอกไว้ว่าวันหลังจะมาใหม่’
ไปรยาไม่รู้ว่าของที่อาณัติพูดถึงเป็นอะไร เขาหมายถึงเงินที่ปกป้องยืมไปทุ่มในร้านอาหารกึ่งผับที่เปิดข้างมหาวิทยาลัยแล้วขาดทุนจนทุนจมหาย หรือยังมีของชิ้นอื่นที่พี่ชายของหล่อนเอาไปอีกกันแน่
“ถ้าถามจากพี่ป้อง รายนั้นคงบอกความจริงไม่หมดอยู่ดี”
ช่วงแรกไปรยายังต้องรับมือกับบรรดาเจ้าหนี้ของพี่ชาย ส่วนคนต้นเหตุนั้นหนีหายตั้งแต่รู้ตัวว่าไม่สามารถกอบกู้ร้านอาหารมาได้แล้ว
ปกป้องบอกหล่อนว่าจะไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้ ไปรยาจึงสนับสนุน แต่นานไปถึงรู้ว่าพี่ชายจงใจหนี เขาตัดช่องทางติดต่อกับครอบครัว หล่อนจึงต้องรับหน้ากับเจ้าหนี้ของเขาตามลำพัง...ในเวลานั้นไปรยาไม่กล้าบอกให้พ่อรู้ แต่นั่นแหละ สุดท้ายหล่อนก็ปิดความลับนี้ไม่ได้
พ่อผิดหวังในตัวปกป้อง แต่หล่อนก็ไม่ได้ดีไปกว่าพี่ชาย เพราะในวันเดียวกัน พ่อยังต้องมารับรู้ว่าลูกสาวคนเดียวกำลังตั้งท้องโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็กอีกด้วย
สีหน้าเจ็บปวดและผิดหวังของพ่อยังตราอยู่ในใจ ไปรยาร้องไห้ ความอ่อนแอและสิ้นหวังจู่โจมเข้ามาอย่างถึงที่สุด ในบางค่ำคืนเมื่อหลับตานอน ไปรยาเคยภาวนาว่าขอให้พรุ่งนี้ตนไม่ต้องตื่นมาอีกเลย
ความทุกข์ของหญิงสาวไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของพ่อ พ่อทิ้งบ้านสวนที่อัมพวาเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนหล่อน และถ้อยคำในค่ำวันหนึ่งของพ่อก็ดึงหล่อนขึ้นมาจากความตรอมตรม
‘ลูกของกิ๊บก็เป็นหลานของพ่อ เมื่อทำให้เขาเกิดมา เราก็มีหน้าที่เลี้ยงดูเขาให้ดี อย่างน้อยพ่อก็ดีใจที่หลานของพ่อเกิดมาจากความรักของลูก ลูกไม่ต้องบอกพ่อว่าแฟนของลูกเป็นใคร ถ้าเลิกกันแล้ว ลูกไม่อยากพูดถึงเขา ลูกก็ไม่ต้องพูด ต่อจากนี้ชีวิตของพ่อก็จะมีกิ๊บกับหลานเท่านั้น’
‘หนูขอโทษค่ะพ่อ’ หล่อนได้แต่ร้องไห้โฮในอ้อมกอดของพ่อ...พ่อที่ให้ชีวิตหล่อนครั้งแล้วครั้งเล่า
‘อย่าไปจมกับความผิดพลาดที่มันผ่านมาแล้ว ส่วนเรื่องหนี้สินของพี่ชายเรา กิ๊บก็วางมือด้วย เพราะคิดมากไปก็ทำให้เครียดเปล่าๆ เราแก้ปัญหาให้พี่เราไม่ได้อยู่ดี แต่ไม่ใช่ว่าพ่อจะเมินเฉยกับเรื่องนี้ พ่อเห็นใจเจ้าหนี้ของเจ้าป้องทุกคน พ่อมองทางแก้ปัญหาไว้แล้ว แต่มันต้องใช้เวลา ระหว่างนี้กิ๊บดูแลตัวเองและหลานของพ่อให้แข็งแรงก็พอ’
หากไม่มีพ่อคอยอยู่ข้างๆ ในวันนั้น ไปรยาก็นึกไม่ออกว่าตัวเองจะผ่านปัญหาใหญ่มาถึงวันนี้ได้อย่างไร
หญิงสาวจมอยู่กับความหลังนานแค่ไหนก็ไม่รู้ กระทั่งรับรู้ถึงแรงกระตุกเบาๆ พร้อมกับเสียงออดอ้อนที่คุ้นเคย
“แม่กุ๊บกิ๊บคร้าบ อชิทาพุงเสร็จแล้ว ทาแขนด้วย แม่กุ๊บกิ๊บหอมๆ”
ลูกชายตัวกลมม้วนตัวเข้ามานอนบนตัก แล้วดึงมือของหล่อนไปซุกไว้ที่ซอกคอตัวเองด้วยท่าทางฉอเลาะ ไปรยาอดที่จะยิ้มเพราะเอ็นดูเจ้าตัวน้อยไม่ได้
“ทาครีมเสร็จแล้วจริงเหรอ ไหนๆ ให้แม่ดูหน่อยสิ”
หญิงสาวเกลือกกลิ้งใบหน้าลงที่พุงกลมๆ ของลูกชาย เจ้าตัวน้อยดิ้นรนด้วยความจั๊กจี้ หากพอหล่อนหยุด เจ้าตัวแสบกลับส่งแขนเล็กอวบให้แม่ฟัดเสียอีก
เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของลูกดังลั่นห้องนอน มันเป็นเสียงสวรรค์สำหรับไปรยา
เช้าวันจันทร์ ไปรยาตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่เหมือนทุกวัน หล่อนเตรียมอาหารมื้อเช้าสำหรับตัวเองและลูกน้อยอยู่ในครัว
สำหรับเมนูของลูกน้อยในวันนี้นั้นมีข้าวผัดไข่ใส่แคร์รอตหั่นเป็นลูกเต๋ากับบล็อกโคลีเคล้ากันให้เป็นสีสัน หลังจากตักข้าวผัดใส่จาน แล้วจึงคีบเนื้อปลาเก๋านึ่งสุกอีกสามชิ้นวางเคียงไปด้วย
ในวัยสามขวบ อชิระเพิ่งเข้าเรียนชั้นอนุบาล เด็กชายยังชอบกินเมนูอาหารใส่ผักรสมือแม่ ไปรยาปลูกฝังลูกเรื่องอาหารการกินมาตั้งแต่เจ้าตัวเป็นเด็กตัวเล็กๆ หากก็เตรียมใจไว้ว่าเมื่อถึงวัยเข้าเรียน ลูกน้อยได้ลิ้มอาหารที่มีรสชาติหลากหลายมากขึ้นแล้วอาจไม่อยากกินผักรสจืดอีกต่อไป
แต่ไม่ใช่เลย อชิระยังตักอาหารที่หล่อนทำให้ทุกมื้อเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ต่างจากเดิม
“อร่อยไหมลูก”
เมื่อแม่ถาม เจ้าตัวเล็กก็เงยหน้าขึ้นมาตอบอย่างไม่ให้ผิดหวัง
“อร่อยที่สุดเลยคร้าบ”
เพียงรอยยิ้มของลูกในตอนเช้าก็ทำให้วันนั้นกลายเป็นวันดีของไปรยา
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว หญิงสาวจึงพาลูกชายไปแต่งตัวเพื่อไปส่งที่โรงเรียน จากนั้นสองแม่ลูกจึงพากันออกมาที่หน้าบ้าน ขณะที่แม่กำลังล็อกประตูบ้านอยู่นั้น อชิระจึงได้สังเกตรอบๆ ตัวว่าบางสิ่งไม่เหมือนเดิม
“แม่กุ๊บกิ๊บครับ พี่เลโอไปไหนครับ” เด็กชายถามถึงรถยนต์คันที่แม่จะพาตนเดินทางไปไหนต่อไหนได้
“พี่เลโอเข้าร้านซ่อมครับ แม่ยังไม่พาออกมา วันนี้ก่อนอชิไปโรงเรียน เราต้องไปรับพี่เลโอกันก่อนนะ”
“ได้ครับ ไปรับพี่เลโอกัน”
อชิระเป็นเด็กว่าง่ายกับแม่ ตั้งแต่รู้ความมาก็แทบไม่ดื้อและไม่ค้านอะไรทั้งสิ้น
สองแม่ลูกเดินมาถึงหน้าหมู่บ้าน แล้วจึงหยุดอยู่ริมถนน มือน้อยๆ ของลูกชายก็กระตุกมือของแม่เมื่อเจ้าตัวเห็นรถคันใหญ่แล่นผ่านหน้าไป
“อชินั่งรถเมล์ไปรับพี่เลโอได้ครับ”
ดวงตากลมของลูกที่แหงนมองมานั้นทำให้น้ำตาของคนเป็นแม่แทบคลอหน่วยตา...พลังใจจากลูกทำให้หล่อนมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นอีกมากโข
“ไม่เป็นไรครับ วันนี้เรานั่งแท็กซี่ไปดีกว่า อชิกับแม่จะได้นั่งสบาย”
“ได้ครับ แม่กุ๊บกิ๊บจะได้ไม่เหนื่อยด้วยครับ”
เด็กชายยิ้มแฉ่ง มือเรียวนุ่มของแม่จึงลูบแก้มกลมๆ อย่างอดใจไม่ได้ ซึ่งเป็นจังหวะที่รถแท็กซี่แล่นมาจอดเทียบพอดี
กว่าจะจัดการธุระสำคัญเสร็จ รถยนต์คู่ใจของไปรยาที่มีอายุมากกว่าสิบห้าปีก็มาจอดในที่ประจำเมื่อเวลาผ่านเก้านาฬิกาไปแล้ว
เมื่อเปิดประตูรถออกมา ไปรยาก็เร่งสาวเท้าลัดเลาะไปตามทางเดินริมสวนเพื่อไปยังจุดนัดหมาย แม้รู้ว่าตัวเองสาย แต่หล่อนก็พยายามไปให้ถึงเร็วที่สุด
ร่างของหญิงสาวในเครื่องแต่งกายด้วยเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำสวมรองเท้าผ้าใบลำลองนั้นอยู่ในสายตาของผู้ชายคนหนึ่ง เขามองหล่อนตั้งแต่วิ่งออกมาจากลานจอดรถ กระทั่งเข้ามาใกล้ล็อบบี้ ภาพที่เขามองผ่านผนังกระจกออกไปเห็นนั้นจึงยิ่งชัดเจน...ชายหนุ่มมั่นใจว่าตาของเขาไม่ฝาด
“กุ๊บกิ๊บ...”
เสียงแผ่วเบาหลุดมาจากแขกหนุ่มหน้าตาดีที่กำลังจองห้องสวีตของโรงแรม พนักงานหลังเคาน์เตอร์ได้ยินเข้าจึงถามเขาอย่างมีใจให้บริการ
“คุณรู้จักกุ๊บกิ๊บหรือคะ”
อาณัติเบิกตาขึ้นอย่างลืมตัว...แม้มั่นใจว่าผู้หญิงที่เขาเห็นเมื่อกี้นั้นเป็นหล่อน แต่ก็ไม่คาดหวังว่าจะได้ยินคนช่วยยืนยันกลายๆ ให้ด้วย
“ครับ แล้วเธอมาทำอะไร” ถามเสียเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดาสุ่ม
“กุ๊บกิ๊บทำงานที่นี่ค่ะ”
“เธอทำงานในโรงแรมนี้หรือ”
อาณัติถามย้ำ ดูจากเครื่องแต่งกายของหล่อน เขายังนึกไม่ออกว่าหล่อนทำหน้าที่อะไร...แต่ช่างเถอะ ยังไงหล่อนก็ทำให้เขาตัดสินใจได้แล้ว
“ผมเปลี่ยนใจ...ผมเช่าห้องสวีตทั้งเดือน”