บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 รอย (รัก) ร้าย

ห้องสวีตของโรงแรมซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสนามบินดอนเมืองเป็นที่พักของอาณัติในค่ำคืนนี้ หลังจากเข้าไปในห้องพัก เขาก็อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วติดต่อไปหาคุณนายอรอร แต่พอรู้ว่าแม่กำลังคุยอยู่กับว่าที่พี่สะใภ้ ชายหนุ่มก็วางสาย...เพราะตั้งใจจะบอกให้แม่รู้แค่ว่าตอนนี้เขาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว

ความที่ห่างบ้านไปนาน อาณัติรู้ว่าแม่เป็นห่วง แม่ไม่เคยรู้เหตุผลว่าทำไมเขาต้องกลับไปทำงานที่อเมริกา ทั้งที่สัญญากับแม่แล้วว่าเมื่อเรียนจบปริญญาโท เขาก็จะกลับมาช่วยแม่ทำงาน

ในเวลานั้น ถึงเขาจะบอกแม่ อาณัติก็ไม่มั่นใจว่าแม่จะเข้าใจเขาหรือเปล่า เขาจึงตัดสินใจปิดปากเงียบ ไม่บอกแม้กระทั่งพี่ชายทั้งสองคน ซึ่งเรื่องนี้นอกจากตัวเขาเองแล้ว ก็มีเพียงเกริกวิทย์เพื่อนสนิทที่รู้เหตุผลและความเป็นมาเป็นไป

‘พวกเขาทำให้กูเสียความเชื่อมั่น ทำให้กูเสียความภูมิใจในตัวเอง กูแค่อยากสร้างศรัทธาให้ตัวเองใหม่’

คนที่นั่งไหล่ลู่ในร้านอาหารกึ่งผับมาหลายสิบนาทีในเวลานั้นบอกเพื่อนร่วมโต๊ะที่มีเพียงหนึ่งเดียวให้รู้

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่อาณัติจะพูดคำนี้ออกมาได้ เขาทบทวนอยู่หลายวันถึงยอมรับว่าตัวเองพ่ายและพลาดไปแล้ว เขาอยากกอบกู้สิ่งที่สูญหายไปให้กลับคืนมา เขาไม่อยากกลายเป็นคนที่สูญเสียศรัทธาในตัวเองและคนรอบข้างไปเพียงเพราะการกระทำของพี่น้องคู่นั้น

‘กูเข้าใจมึง ไปเถอะ แล้วยังไงก็ติดต่อกลับมาหากูด้วย ถ้ามึงมีปัญหา อยากให้กูไปหาที่นั่นก็ย่อมได้เสมอ แค่บอกมา ถึงกูไม่มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบิน กูก็จะไปไถเงินเสี่ยยศเพื่อมึง’

แม้เป็นการพูดติดตลก แต่อาณัติรู้ดีว่าถ้าถึงคราวจำเป็น เกริกวิทย์สามารถทำให้มันเป็นเรื่องจริงได้

ในที่สุดเขาก็ผ่านช่วงเวลาย่ำแย่นั้นมาได้ เขาสมัครเข้าทำงานด้วยวุฒิที่เรียนจบในอเมริกา ผ่านช่วงเรียนรู้งานในเวลาสั้นๆ จากนั้นชีวิตคนทำงานในต่างแดนของเขาก็อยู่ตัว

ในหลายขณะ อาณัติคิดจะปักหลักอยู่ที่อเมริกา แต่เป็นเพราะเขายังติดค้างสัญญากับแม่ว่าจะกลับมาช่วยทำงาน ชายหนุ่มจึงตัดใจ เวลาสี่ปีมันนานเพียงพอสำหรับเขาแล้ว...นานพอที่จะสร้างเขาคนใหม่ และนานพอที่ทำให้เขาไม่เจ็บปวดหัวใจเมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้น

‘พี่ของแกจะแต่งงาน’

ตอนที่เปิดโทรศัพท์มือถือมาเห็นข้อความของแม่ อาณัติก็ยิ้มอย่างดีใจและเกิดความโล่งใจขึ้นอย่างประหลาด...รู้ทันทีว่าถึงเวลาที่เขาควรกลับบ้านแล้ว

เวลาสี่ปีไม่ทำให้สภาพแวดล้อมของหมู่บ้านนี้เปลี่ยนไป อาณัติเดินเตร็ดเตร่เข้าไปในซอย หลังจากบอกแท็กซี่ให้จอดส่งเขาที่ริมถนนใหญ่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน

บ้านเดี่ยวชั้นเดียวสร้างเรียงรายไปตามซอยภายในหมู่บ้าน บ้านแต่ละหลังมีพื้นที่จำกัด และเมื่อมองจากข้างนอก บ้านเกือบทุกหลังก็ดูคล้ายกันหมด หากคงเป็นสัญชาตญาณและความเคยชินที่พาเขามาหยุดหน้าบ้านเป้าหมายได้ถูก

กริ่งสัญญาณตรงประตูรั้วอัลลอยด์ที่มีสนิมจับเกรอะก็ยังเป็นอันเดิม ชายหนุ่มยกมือขึ้นมากดกริ่งเรียกพลางมองเข้าไปข้างในรั้วบ้าน รอคอยคนที่จะออกมา

อาณัติยืนรอหน้าประตูรั้วท่ามกลางแสงแดดร้อนอยู่หลายนาที เมื่อข้างในบ้านยังเงียบกริบ ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครออกมา เขาจึงกดกริ่งสัญญาณซ้ำๆ โดยไม่เกรงใจกันละคราวนี้

“เจ้าของบ้านไม่อยู่มั้งคุณ บ้านหลังแค่นี้ ถ้ามีคนอยู่ก็ได้ยินแล้ว รถก็ไม่จอดไว้ คุณไม่เห็นเหรอ”

เสียงตะโกนดังมาจากบ้านหลังติดกันที่มีรั้วโปร่งซึ่งทำด้วยซี่เหล็กกั้นพอเป็นสัดส่วน

“ปกติมีคนอยู่บ้านหลังนี้ใช่ไหมครับ”

“มี...ว่าแต่คุณเป็นใคร”

เพื่อนบ้านเริ่มระแวง แม้เห็นว่าคนที่มากดกริ่งบ้านหลังข้างๆ มีหน้าตาและท่าทางดี แต่จะว่าได้หรือ คนสมัยนี้ดูแต่ภายนอกไม่ได้

“ผมเป็นเพื่อนปกป้อง”

“อ๋อ! เพื่อนเจ้าป้องนี่เอง เขาไม่อยู่แล้ว คุณเป็นเพื่อนเขา ไม่รู้หรือว่าเขาย้ายไปนานแล้ว”

คำตอบจากชายสูงวัยรูปร่างผอมเกร็งที่อยู่ในรั้วบ้านหลังติดกันทำให้ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้ารั้วบ้านหลังเป้าหมายต้องกระตุกปากยิ้มหยัน เพราะนึกถึงคำพูดของเพื่อนหนุ่ม

‘แน่ใจหรือว่าพี่ป้องยังอยู่บ้านเดิม ไม่ใช่ว่าหนีหนี้หายไปแล้วนะ’

ถ้าหนีไปแล้วก็ถือว่าจบกัน หนีไปให้สุดขอบโลกได้ก็ยิ่งดี เพราะเขาแค่จะมาดูให้เห็นกับตา ไม่อยากให้คนพวกนี้ลำพองใจคิดว่าเขาพ่ายแพ้แล้วเป็นฝ่ายถอยหนีไปเอง

หากเมื่อทบทวนคำพูดของชายสูงวัยเมื่อครู่ ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วมุ่น

ถ้าปกป้องไม่อยู่ แล้วใครยังอยู่ที่นี่

ไม่ทันที่อาณัติจะได้ถามออกไป พลันเขาก็ต้องหันไปมองด้านหลัง เพราะเสียงแปลกประหลาดดังรัวๆ ขึ้น และเสียงนั้นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกที

แกร็กๆ แกร็กๆๆ แกร็กๆๆๆ

รถจักรยานคันสีแดงที่มีล้อพ่วงข้างแล่นตรงมาอย่างไว ก่อนจะจอดตรงหน้าเขา

เด็กชายตัวเล็กที่นั่งอยู่บนจักรยานแหงนมองเขาหน้านิ่ง ดวงตากลมคู่นั้นไม่มีความกลัว ไม่มีคำถาม ไร้ความสงสัยตามประสาเด็ก หนูน้อยเพียงทอดมองเขานิ่งเฉย อาณัติจึงมองตอบนิ่งๆ ด้วยท่าทีไม่ต่างกัน...กระทั่งได้ยินเสียงเล็กๆ ดังขึ้นมา

“คุณลุงถอยหน่อยครับ อชิจะเข้าบ้าน”

ถึงตอนนี้อาณัติก็เข้าใจความรู้สึกบนใบหน้าของหนูน้อยว่าเป็นเพราะเขามายืนขวางทางเข้าบ้านของเจ้าตัวนั่นเอง...แม้แสงแดดร้อนจ้าทำให้ดวงหน้าเล็กสุกปลั่งด้วยไอแดด แต่เขาก็ยื้อเด็กชายไว้ เพราะไม่อยากให้ความสงสัยค้างคาใจ

“หนูอยู่บ้านนี้ใช่ไหม”

“ใช่ครับ นี่บ้านของอชิ”

“แล้วพ่อเราไปไหน”

“อชิไม่รู้ครับ แต่อชิมีคุณตาตัวใหญ่ๆ ใหญ่กว่าคุณลุงด้วย อชิไม่กลัวคุณลุงหรอก”

“พ่อเราหนีไป ไม่อยู่เลี้ยงเราใช่ไหม”

เพิ่งรู้ตัวว่าตนใจร้ายเกินไปก็ตอนที่เห็นดวงหน้าเล็กนั้นเบ้ ทำท่าจะร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่ได้ไหลออกมา เพราะเจ้าตัวฮึบไว้ได้ทัน ก่อนจะมองแรงมายังเขา ทั้งที่น้ำใสๆ ยังรื้นหน่วยตา

“อชิโป้งคุณลุง ไม่ให้คุณลุงมาบ้านอชิ”

อาณัติเองก็จังงังไปเลย คำพูดของเขาแรงไปสำหรับเด็กชาย เขาไม่ควรตั้งป้อมกับเด็ก เพราะมันเป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ ไม่ว่าพ่อเจ้าเด็กคนนี้ทำอะไรกับเขาไว้ แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับคนเป็นลูก

“ฉันขอโทษแล้วกันนะ”

“อชิโกรธ อชิจะฟ้องคุณตาด้วย”

เออวะ ขอโทษแล้วไง ทำไมไม่หายโกรธอีก

เป็นครั้งแรกที่อาณัติจนมุม ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร เขาไม่คุ้นกับเด็ก ด้วยความที่เป็นลูกคนเล็กในบ้าน เขาจึงไม่ต้องเอาใจใคร และตั้งแต่จำความได้ เขาจะได้รับการปกป้องจากแม่และพี่ชายทั้งสองคนเสมอ คนเหล่านี้ดูแลเขาปานไข่ในหิน คงเป็นเพราะพ่อของเขาจากไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็กมาก แม่กับพี่ชายจึงพยายามทำหน้าที่นั้นแทน

และจะว่าไป ถ้าเด็กคนนี้เป็นลูกชายของปกป้อง ความที่พ่อหนีไปไม่ได้เลี้ยงดู หนูน้อยก็ถือเป็นเด็กที่น่าสงสารเหมือนกัน

“เราจะฟ้องใครก็ตามใจ แต่ลุงสัญญาว่าจะไม่พูดไม่ดีกับเราอีก โอเคไหม”

นอกจากจะไม่ตอบรับ เด็กชายยังสะบัดหน้าพรืดให้อีก จนผู้ใหญ่คู่กรณีได้แต่โคลงศีรษะอย่างหมดทาง

หากก่อนที่สงครามระหว่างเจ้าของบ้านและผู้มาเยือนจะยืดเยื้อไปกว่านี้ ผู้หญิงวัยกลางก็เข้ามาแทรกเสียก่อน

“อชิคุยกับใคร แล้วแม่เราไปไหนล่ะ”

“แม่พาเลโอไปซ่อมครับ แม่ให้อชิอยู่กับป้าเพลินและน้องพลอย แต่น้องพลอยเล่นตุ๊กตา น่าเบื่อมาก อชิก็เลยจะกลับบ้าน แล้วลุงคนนี้ก็มาขวางอชิไว้ อชิเข้าบ้านไม่ได้”

เด็กชายเล่ายาวเหยียด อาณัติก็เผลอฟังไปอย่างตั้งใจ ทั้งที่เขาไม่รู้ว่าแต่ละคนที่เจ้าตัวอ้างถึงนั้นเป็นใครกันบ้าง

“แล้วคุณมาหาใครคะ”

ผู้หญิงคนนี้ถามเขา...ในทีแรกอาณัติคิดจะเดินกลับ เมื่อคนเป้าหมายไม่อยู่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องคุยกับใคร หากความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาทันใด ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนใจบอก

“ผมมาหาเจ้าของบ้านครับ แต่รู้ว่าเขาไม่อยู่ งั้นรบกวนช่วยบอกเขาหรือคนในบ้านว่าผมชื่ออาณัติ ผมมารับของที่ฝากไว้เมื่อสี่ปีก่อน เอาไว้สะดวกแล้วผมจะมาใหม่”

อาณัติเดินออกมา แต่ด้วยความรู้สึกที่ยังติดตาและต้องการจดจำทำให้เขาหันกลับไปมองเด็กชายบนรถจักรยานคันสีแดง แล้วพบว่าเจ้าตัวน้อยมองตามเขาอยู่เช่นกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel