บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 รอย (รัก) ร้าย

เสียงข้อความดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่ตรงระเบียงเรือนพักของรีสอร์ตริมทะเลต้องหยุดตัวเอง เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะข้างประตูขึ้นมาอ่าน

คุณนายอรอร : อยู่ที่ไหน จะกลับบ้านเมื่อไร

อาณัติเผลอยิ้ม แม้เป็นข้อความตัวอักษร แต่ให้ตายเถอะ เขาอ่านเป็นเสียงของแม่ไปได้อย่างไร

อาณัติ : อยู่ที่ภูเก็ตครับ วันนี้จะกลับกรุงเทพฯ มะรืนนี้อย่าลืมให้คนขับรถมารับผมที่โรงแรมด้วยนะครับ

แค่กดส่งข้อความไปไม่กี่วินาที ยังไม่ทันวางโทรศัพท์มือถือลงที่เดิม เสียงสายเรียกเข้าก็ดังขึ้น และแน่นอนว่าเป็นคนที่เขาคาดไว้นั่นแหละที่โทร.เข้ามา

“ว่าอย่างไรครับแม่” ลูกชายคนเล็กของคุณนายอรอรส่งเสียงรื่นเริงทักทาย และคนปลายสายก็เข้าเรื่องอย่างไม่ยอมให้เสียเวลา

“แกกลับมาเมืองไทยตั้งหลายวันแล้ว ป่านนี้ยังกลับไม่ถึงบ้าน พี่ชายแกจะแต่งงานทั้งที ฉันอุตส่าห์บอกเนิ่นๆ ให้แกมีเวลาเตรียมตัว แกจะได้ไม่ฉุกละหุก แต่ดูสิ แทนที่จะกลับบ้านเลย แกกลับแวะรายทางตั้งแต่ใต้จดเหนือ...แล้วอยู่ที่นั่นมากี่วันแล้วล่ะ”

“เจ็ดวันพอดีครับ เช็กเอาต์วันนี้ บ่ายๆ ผมก็ขึ้นเครื่องไปกรุงเทพฯ” รอยยิ้มเกลื่อนบนใบหน้าหล่อเหลาที่เริ่มคร้ามแดด ก่อนเขาจะหยอกแม่ “ผมอยากจะพักสักเดือนด้วยซ้ำ เสียแต่ว่าค่าที่พักแพงไปหน่อย ขืนอยู่ยาว กระเป๋าผมแห้งพอดี เดี๋ยวจะไม่มีเงินรับขวัญหลานคนแรกของคุณนายอรอร”

“ยังดีที่คิดได้ อีกหกเดือนพี่สะใภ้แกก็คลอดลูก พี่ชายแกจะเป็นพ่อคน ส่วนแกก็เป็นอา แกกำลังจะมีหลานเป็นตัวเป็นตนแล้วนะ”

แม้ไม่ใช่วาจาอ่อนหวาน แต่อาณัติสัมผัสได้ว่าเสียงของแม่เจือความปลาบปลื้มอยู่ไม่น้อย...นึกไป มันก็เป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดในครอบครัวของเขา แต่ชายหนุ่มก็อดที่จะแปลกใจกับพี่ชายคนโตไม่ได้

“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับพี่อั๋น ทำไมถึงปุบปับรับโชค เฮียเล่นซะไม่ให้ผมเตรียมใจกันเลย ทีเมื่อก่อนทำเสียงแข็งว่าจะไม่มีลูกเมีย แม่พูดเรื่องพวกนี้ทีไร ผมเห็นพี่อั๋นโบ้ยให้ผมกับพี่โอ๊ตรับไปทุกที”

“จะเกิดอะไร...” คุณนายขึ้นเสียงสูง คราวนี้น้ำเสียงเจือความหมั่นไส้อยู่เต็มร้อย “พี่แกแค่คิดได้ว่าถึงเวลามีเมียมีลูก อายุอานามก็ปูนนี้กันแล้ว จะทำตัวล่องลอยเหมือนบางคนอยู่ได้ยังไง”

อาณัติหัวเราะ...รู้ทันว่าถูกแม่แซะเข้าให้แล้ว

“ถ้าผมเกิดปุบปับเหมือนพี่อั๋นขึ้นมาบ้าง แม่จะว่ายังไง”

“รับรองว่าฉันไม่หัวใจวาย แกก็เถอะ อย่าดีแต่ปาก ทำให้มันจริง”

เอากับคุณนายอรอรสิ เมื่อกี้เขาแกล้งแหย่ไปเท่านั้นเอง...รู้ซึ้งเลยว่าถ้าไม่แน่จริง ไม่มั่นใจว่าทำได้ ก็อย่าไปท้าแม่ของเขา

“งั้นขอเวลาหน่อยนะ เพราะผมทำแต่งานมาหลายปี กลับไปที่อเมริการอบนี้ ผมเดตสาวไม่กี่ครั้งเอง ยากละที่โชคจะมาถึงตัวเหมือนพี่อั๋น”

“พูดดีไปเถอะ ใครจะไปรู้เรื่องของแก แกร่อนไปทั่วทั้งไทยและต่างประเทศอยู่ตั้งหลายปี ถ้าจู่ๆ มีเด็กโผล่มาเรียกฉันว่าย่าอีกคน ฉันก็ไม่ตกใจ”

อยากบอกแม่ว่าไม่มีทาง เพราะตลอดสี่ปีที่อยู่ในอเมริกา เขาใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ เรียกได้ว่าสติอยู่กับตัวตลอดเวลา...ชดเชยกับความก้าวพลาดที่ผ่านมา

หากอาณัติก็ไม่ค้านแม่ เขาได้แต่ยิ้มรับ ก่อนที่จะขอวางสายเพื่อเก็บกระเป๋าเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในบ่ายวันนี้

เขามีเรื่องต้องจัดการที่นั่น บางสิ่งยังคาราคาซังอยู่

เครื่องบินโดยสารภายในประเทศที่ออกจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตแตะรันเวย์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลาเย็น ชายหนุ่มร่างสูงวัยใกล้สามสิบปีเดินปะปนมากับผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกัน และคนที่ยืนรอรับก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณเมื่อเห็นเขา

อาณัติเดินไปหาผู้ชายร่างสูงไล่เลี่ยกับเขา หลังจากทักทายตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่เจอกันหลายปี ฝ่ายนั้นก็ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเขามีกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบกับเป้ใส่สัมภาระอีกใบเท่านั้น

“ของมีเท่านี้หรือวะ กูอุตส่าห์เอารถใหญ่ที่บ้านมา กะว่าจะได้ขนของให้มึงได้สะดวก”

“มีเท่านี้แหละ กระเป๋าส่วนใหญ่ส่งกลับบ้านไปก่อนแล้ว”

“อ๋อ! ถึงว่าสิ...งั้นกลับกันเลย กูจองโรงแรมไว้ให้แล้ว ความจริงมึงพักที่คอนโดกูก็ได้ ไม่เข้าใจเลยว่าจะให้กูหาโรงแรมแถวนั้นทำไม มึงก็ไม่ได้นั่งเครื่องบินกลับบ้านไม่ใช่เหรอ”

มันน่าสงสัยที่อาณัติบอกให้จองโรงแรมแถวดอนเมือง เพราะรู้ว่าเจ้าตัวให้รถที่บ้านมารับในวันมะรืน ไม่ใช่จะนั่งเครื่องบินจากสนามบินดอนเมืองกลับบ้านที่ต่างจังหวัดสักหน่อย...อีกทั้งระยะทางจากที่ตรงนี้ไปยังโรงแรมที่จองไว้ก็เรียกว่าขับรถข้ามฟากเมืองกันทีเดียว

“กูมีธุระแถวนั้น”

“ธุระอะไร” คนปากไวถามต่อ แต่ฉุกคิดได้ทัน “ขอโทษที ลืมตัว ถามซอกแซกไปหน่อย”

อาณัติไม่ได้ตอบในทันที จนทั้งสองคนเดินไปถึงรถคันใหญ่ที่จอดไว้ หลังจากนำข้าวของไปวางบนเบาะหลังเสร็จเรียบร้อย พวกเขาจึงเปิดประตูรถเข้าไปนั่งทางตอนหน้า

“ไม่เป็นไร...กูแค่ลืมของเอาไว้ที่บ้านคนรู้จัก เลยจะแวะไปถามดูว่าของยังอยู่หรือเปล่า”

คนบนเก้าอี้ฝั่งผู้โดยสารบอกพลางดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ ทำให้คนนั่งหลังพวงมาลัยรถถึงกับหันขวับไปมอง

“กูตั้งใจจะไม่ยุ่งเรื่องของมึง แต่มึงก็พูดเป็นปริศนาอยู่ได้ ทำให้กูสงสัยอีกแล้วเนี่ย” เกริกวิทย์บ่นก่อนจะสตาร์ตรถ แล้วเคลื่อนรถออกไปจากอาคารท่าอากาศยานเพื่อพาเพื่อนไปส่งยังโรงแรมตามที่เจ้าตัวต้องการ

“มึงรู้...” อาณัติเปรย ตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างรู้ทัน ส่วนเกริกวิทย์ก็ไม่รักษาท่าที เมื่อเจ้าตัวแย้มมา เขาก็รุกถามอย่างไม่ให้เสียเวลาเช่นกัน

“มึงมีธุระกับใคร คนพี่...หรือคนน้อง”

“คนน้องเกี่ยวอะไรด้วย”

“กูก็ถามไปอย่างนั้น”

ปากก็พูดไป แต่สายตาชำเลืองมองอาณัติไปด้วย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เขาก็พูดถึงคนพี่อย่างจริงจัง

“แน่ใจหรือว่าพี่ป้องยังอยู่บ้านเดิม ไม่ใช่ว่าหนีหนี้หายไปแล้วนะ”

“เขาติดหนี้ใครอีก”

“กูไม่รู้หรอก ได้ยินแต่รุ่นพี่เขาพูดกัน แต่มันน่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะถ้าหลอกเงินมึงไปได้หลายแสน คนอื่นก็คงหลงเป็นเหยื่อได้เหมือนกัน”

“ตอนนั้นกูโง่”

“มึงไม่โง่หรอก กูเชื่อว่าถ้าเป็นคนอื่น มึงก็ต้องระแวงบ้างละ แต่ที่มึงยอมช่วยเขาหลายครั้ง คงเพราะเห็นว่าเขาเป็น...เป็นพี่ป้องนั่นแหละ”

“เรียกว่าใจดีจนเสียสติ”

“แล้วคราวนี้มึงจะไปบ้านเขาทำไม ทวงเงินเหรอ...แต่ก็น่าสนอยู่นะ กว่ามึงจะหาเงินก้อนนั้นมาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ทำงานเหนื่อยเหมือนกันนะโว้ย”

เกริกวิทย์รู้ดีว่าอาณัติทำงานหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี กระทั่งไปเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศด้วยกัน ใครจะเชื่อว่าลูกเศรษฐีอย่างเพื่อนเขานั้นทำงานรับจ้างส่งเสียตัวเองเรียนโดยไม่ใช้เงินจากทางบ้านเลย…แถมเรียนจบกลับมาก็ยังมีเงินติดตัวอีกตั้งหลายแสน แต่สุดท้ายปกป้องก็หลอกเอาไปจนสิ้น ซึ่งเป็นเหตุให้อาณัติตัดสินใจกลับไปทำงานที่อเมริกาต่อ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาตั้งใจกลับมาปักหลักที่เมืองไทยแล้วด้วยซ้ำ

“กูคิดว่า...กูควรไปเป็นเพื่อนมึงด้วย” หลังจากปล่อยให้ความเงียบคั่นกลางนานหลายนาที เกริกวิทย์ก็พูดขึ้น แต่พอเห็นอาณัติมองมา เขาก็รีบออกตัว “อ้ะๆ อย่าคิดว่ากูไปเสือก แต่มึงไปทวงเงินเขา มันเสี่ยง เรื่องพวกนี้ไม่เข้าใครออกใคร กูไม่ไว้ใจลูกหนี้ของมึง”

“กูไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

“งั้นพรุ่งนี้กี่โมง บอกมา กูจะขับรถไปให้”

เกริกวิทย์บอกเสียงจริงจัง เขาให้ใจเพื่อนคนนี้เสมอ ส่วนอาณัติก็เข้าใจความห่วงของเพื่อนเป็นอย่างดี แต่อย่างที่บอก...เขาเลิกทำตัวไร้สติมานานแล้ว

“อย่าเลย พรุ่งนี้วันหยุด มึงอยู่กับแฟนเถอะ”

“ห่างกันแล้ว” คนพูดจาขึงขังเมื่อสักครู่เปลี่ยนน้ำเสียงฉับพลัน

“เสียใจด้วยนะ”

“ไม่เป็นไร...ช่างมันเถอะ”

เกริกวิทย์ไหวไหล่ สลัดดวงหน้าของคนที่เข้ามาซ่อนอยู่ในความคิดเนืองๆ ให้หลุดไป และเขาก็ทำได้ไม่ยากเสียด้วย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel