บทที่ 2 เดียวดาย
ร่างสูงโปร่งก้าวออกมาจากร้านอาหาร แล้วยกมือไหว้ส่งลูกค้าเดินทางกลับ ตนเองเปิดประตูรถขึ้นนั่งแล้วเคลื่อนออก ฤทธิ์แอลกอฮอลล์ทำให้มึนงงไม่น้อย แต่เพราะคนขับขอลางานเลยทำให้ต้องขับเองในวันนี้ ภัควัตรแน่ใจว่าตนเองมีสติมากพอ
รถแล่นมาตามเส้นทาง เขายกเรียวแขนดูเวลา เกือบตีหนึ่งแล้วคงต้องเร่งเครื่อง เพราะเกรงว่าที่เจ้าสาวรอนาน
แปะ แปะ
ไม่นานสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่คาดคิด เขาถอนหายใจ วันนี้อะไรๆ ก็ดูไม่สะดวกเอาเสียเลย ฝนตกใหม่แบบนี้ถนนลงลื่นน่าดู ฝนเริ่มแรงขึ้น ถนนด้านหน้าแทบมองไม่เห็น ไฟรถส่องสว่าง จังหวะนั้นรถจักรยานยนต์โผล่ออกมากะทันหัน
เอี๊ยด!
เขาเบรกทันที รถเสียหลัก หมุนคว้างอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มควบคุมสติพยายามจับพวงมาลัยไว้มั่น แต่รถไม่อาจควบคุมได้เพราะถนนลื่น
โครม!
เสียงชนต้นไม้ดังสนั่น สายฝนโปรยปรายมาอย่างหนัก ร่างถูกกระแทกเข้ากับพวงมาลัย กระจกด้านหน้าแตกละเอียด ฝนเทกระหน่ำลงมาทั่วร่าง เลือดสีแดงสดไหลนองจนพื้นเริ่มถูกยอมด้วยสีแดง เขาปรือตามองหายใจแผ่วเบา ก่อนสติจะดับวูบไป
ดวงตาคมค่อยๆ เปิดออก แสงทำให้ไม่อาจทำได้อย่างใจ แต่ภัควัตรพยายามฝืน เมื่อปรับสภาพดีแล้ว เขากวาดมองรอบๆ ห้องด้วยความแปลกใจ ตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน
วันฤดีน้ำตานองมาเกาะข้างเตียง กุมมือคนรักแล้วแนบแก้มไว้
“คุณวัตรเป็นยังไงบ้าง” วันฤดีถามทั้งน้ำตา
ร่างกายมันปวดร้าวไปหมด เกิดอะไรขึ้นกับเขา จำได้ว่ารถลื่นแล้วก็จำไม่ได้อีกเลย
“จำวันได้ไหมคะ”
“วัน...” เขาเรียกชื่อเสียงแผ่ว
“วันเองค่ะ เป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหน”
“ผมปวดไปทั้งตัว” เขาบอก แล้วพยายามขยับร่างกาย แต่อดแปลกใจไม่ได้ที่ท่อนล่างนั้นไม่รู้สึกอะไรเลย “ทำไมผมถึงขยับขาไม่ได้ล่ะวัน”
“หมอบอกว่าหลังคุณกระแทกกับประตูรถค่ะ เลยทำให้อักเสบ คุณจะยังขยับขาไม่ได้ตอนนี้”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ วันฤดีมองสภาพเขาแล้วหนักใจ ผ้าพันเต็มไปหมด สายน้ำเกลือ สายสวนปัสสาวะ ไหนจะอื่นๆ อีกมากมาย ไม่คิดมาก่อนเลยว่าวัตรจะต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้
“วัน... บอกแม่ผมหรือยัง” เขาถามเสียงแผ่ว
เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ
“อย่าบอกแม่ผมนะ ผมไม่อยากให้ท่านห่วง”
“ได้ค่ะ วันจะไม่บอก”
เสียงประตูห้องพักฟื้นเปิดออก หมอเจ้าของไข้มาตรวจบาดแผล สีหน้าหมอไม่สู้ดีนักเมื่อผลตรวจออกมา
“เป็นญาติคนไข้หรือเปล่าครับ” หมอถามเสียงเครียด
“ฉันเป็นแฟนค่ะ เรากำลังจะแต่งงานกัน”
“ถ้าเช่นนั้นเชิญทางนี้ครับ”
หญิงสาวเดินตามหมอหันมามองว่าที่เจ้าบ่าวเล็กน้อย แล้วโบกมือลา
“เชิญนั่งครับ”
วันฤดีหย่อนกายลงบนเก้าอี้ ตรงข้ามกับคุณหมอ
“ผมจะแจ้งเรื่องผลการตรวจ แผลส่วนอื่นไม่มีอะไรน่าห่วง โชคดีสมองไม่ได้การกระทบกระเทือน ที่หนักคงมีแค่ส่วนของกระดูกสันหลัง”
คนฟังนิ่งเงียบ สังหรณ์บางอย่างเริ่มแทรกเข้ามา
“ผมไม่อ้อมค้อมนะครับ บางทีคนไข้อาจเดินไม่ได้ตลอดชีวิต แต่ถ้าหากมีปาฏิหาริย์ หรือคนไข้มีแรงใจในการสู้ ก็อาจทำให้เขาช่วยตัวเองได้”
หมอสังเกตสีหน้าญาติคนไข้ เห็นแววตาเธอเริ่มเหม่อลอย
“คุณ... เข้าใจใช่ไหมครับ”
“คะ... เข้าใจค่ะ” หญิงสาวรับคำราวกับละเมอ
ร่างเพรียวเดินออกมานอกห้อง ร่างกายเหมือนไร้เรี่ยวแรง นี่เธอกำลังจะแต่งงานกับคนพิการงั้นเหรอ ไม่ใช่... เธอต้องการมีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม ถ้าสามีกลายเป็นคนพิการ แล้วคนอย่างเธอซึ่งมีความต้องการมากเป็นพิเศษ ไม่ได้รับการปลดปล่อย ทุกอย่างต้องพังแน่
เดินกลับเข้ามายังห้องพักฟื้น วันฤดีทิ้งกายลงบนโซฟา ท่าทางของเธอทำให้ภัควัตรรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ
“วัน... เกิดอะไรขึ้น หมอบอกว่ายังไงเหรอครับ” เขาถาม เสียงนี้ช่วยปลุกให้วันฤดีรู้ตัว
หญิงสาวหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย แล้วเดินมายืนข้างเตียง ฉาบรอยยิ้มไว้เช่นเดิม
“วัตรคะ วันนี้วันขอตัวกลับก่อนนะคะ พรุ่งนี้วันจะมาเยี่ยมใหม่” เธอบอกแล้วหันหลังเพื่อเดินออกจากห้อง
“เดี๋ยววัน” ชายหนุ่มเรียกไว้ก่อน คนถูกเรียกหันกลับมา “คุณยังไม่ตอบผมเลย หมอว่ายังไงบ้าง”
เธอยังคงแสร้งยิ้ม “หมอบอกว่าอีกไม่นานคุณก็หาย ขอแค่คุณทำกายภาพบำบัดค่ะ”
สีหน้าของวันฤดีไม่ได้บอกว่ามันเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มรู้ดี ว่าที่เจ้าสาวกำลังโกหก
“วันกลับก่อนนะคะ” พูดจบ เธอเดินออกจากห้องพักฟื้นไปทันที ปล่อยให้อีกคนครุ่นคิดอยู่คนเดียว
ร่างเปลือยเปล่าถูกกกกอดเอาไว้ ในใจวันฤดีรู้สึกผิด แต่ร่างกายเธอมันต้องการเรื่องแบบนี้มากมาย และตนเองก็ไม่กล้าพบจิตแพทย์ คนที่สนองความต้องการอันล้นเหลือได้มีเพียงเกริกฤทธิ์เท่านั้น
“ผมกำลังมีเงินก้อนใหญ่แล้วนะวัน คุณสนใจแต่งงานกับผมไหม” เขาลองหยั่งเชิง
วันฤดีเหลือบมอง “ก้อนใหญ่ ใหญ่ขนาดไหนล่ะคะ”
“สักห้าล้านพอไหม”
คนฟังอมยิ้ม “จะขอฉันแต่งงานเหรอคะ เราสองคนไม่เคยได้ไปที่ไหนเลยนอกจากคอนโดคุณ”
“แล้วคุณอยากไปที่อื่นเหรอ”
หญิงสาวเงียบ ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมา ในความทรงจำมีภาพระหว่างเธอกับภัควัตรมากมาย แต่เธอนั้นไม่ได้เข้มแข็งมากพอที่จะรับกับความเปลี่ยนแปลงแบบนี้
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้อยากไปที่ไหน”
เขากอดร่างเปลือยเปล่าแน่นมากขึ้น จุมพิตลงบนเรือนผมนุ่มแผ่วเบา
“ผมน่ะรู้ว่าคุณต้องการอะไร และเร่าร้อนแค่ไหน”
“บางที...ฉันอาจไม่แต่งงานค่ะ” เธอเปรยเสียงเบา
คนฟังหูผึ่งขึ้นมา “จริงเหรอ!” เกริกฤทธิ์ร้องออกมาด้วยความดีใจ
หญิงสาวถอนหายใจ มันอาจดูใจร้าย ทว่าตนคิดมาดีแล้ว
“ค่ะ ฉันคงทนไม่ไหว ถ้าสามีต้องพิการเดินไม่ได้”
เกริกฤทธิ์รู้ดี “ผมก็เชื่อว่าคุณคงทนไม่ไหว”
เธอหันมองอีกฝ่าย แล้วระบายลมหายใจ
“แต่ฉันรู้สึกผิดนะคะที่ทำแบบนี้”
เขารีบดึงมือบางมากุม “ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกวัน ต้องโทษโชคชะตาต่างหาก”
เกริกฤทธิ์ยิ้มอ่อนโยน แล้วโน้มกายเข้าหามอบจุมพิตดูดดื่มให้สมกับที่เธอกำลังทำให้ความปรารถนาเขาเป็นจริง
ดวงตาคมเหม่อมองวิวผ่านหน้าต่างห้องพักฟื้น ริมฝีปากหนาเม้มแน่นด้วยความหม่นหมอง ในหัวสมองเขากำลังสับสนและไม่เข้าใจอะไรหลายอย่าง การหายไปของว่าที่เจ้าสาว เกือบเดือนเธอไม่เคยมาเยี่ยมเยือนอีกเลย จนกระทั่งสมภพคลิปของเธอมาให้ดู
“เธอกำลังนอกใจคุณครับ” ลูกน้องเขาบอกแบบนั้น แม้ไม่อยากเชื่อ ทว่าภาพมันฟ้องชัด
มาส่งกันที่รถ ตระกรองกอด จูบดูดดื่ม อยู่ในคลิปที่อัดไว้ เขาเคยไว้ใจวันฤดี ไม่คิดว่าเธอทำได้ลงคอ ในอกมันเจ็บร้าว หัวใจแทบแหลกสลาย ในยามลำบากเช่นนี้ ไม่มีแม้กำลังใจ มีเพียงความชอกช้ำมอบให้แทน
ประตูห้องพักเปิดออก ร่างเพรียวก้าวเข้ามา คนป่วยหันมองแววตาเรียบนิ่ง วันฤดีวางกระเป๋าสะพายแล้วหยุดยืนตรงขอบเตียง รอยยิ้มฉาบทั่วใบหน้า ภัควัตรเงียบไม่เอ่ยคำพูดใด
“โกรธเหรอคะ ที่วันไม่ได้มาเยี่ยม”
“เปล่าวัน ผมแค่แปลกใจว่าคุณหายไปไหน โทรหาก็ไม่รับสาย”
“วันแค่ต้องการเวลาค่ะ” เธอบอก
ชายหนุ่มสบตา “พอแล้วเหรอครับ สำหรับเวลาที่คุณต้องการ”
คนฟังชะงักครู่หนึ่ง “พอแล้ว” เธอตอบเสียงแผ่ว
มือหนาถูกรั้งมากุมไว้ ทว่าหัวใจชายหนุ่มกลับเย็นเฉียบ มันไม่อบอุ่นอีกแล้ว เขารู้ทุกอย่างแต่ไม่อาจโวยวาย หรือต่อว่าอีกฝ่ายได้เลย ในเมื่อตนนอนเป็นคนป่วยขยับไปไหนไม่ได้
“ฉะ...ฉัน” หญิงสาวอึกอัก
“พูดมาเถอะวัน”
“ฉันคงแต่งงานกับคุณไม่ได้หรอกค่ะวัตร ฉันขอโทษนะคะ” พูดจบ หญิงสาวสะอื้นออกมา
คนตัวใหญ่ดึงมือตนเองกลับแววตาเย็นชา มองใบหน้าคนที่ตนเคยรักสุดหัวใจ
“ทำไมถึงแต่งไม่ได้” เขาถามเสียงแข็งขึ้น
“หมอบอกว่าคุณ... จะเดินไม่ได้ตลอดชีวิต!” วันฤดีโพลงออกมา