ปรากฏการณ์
หานซูหลินหลับตาลงพร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลริน การร้องขอความเห็นใจของนาง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้น ไฟจากนรกมอดไหม้ลง พร้อมกับพื้นที่แห่งนั้นกลับมาสงบอีกครั้ง กายที่โปร่งบางเมื่อครู่ก็พลันกลับเข้าสู่กายเนื้อ จนบัดนี้หญิงสาวหาได้มีเส้นเลือดดำติดอยู่ที่ตัวอีกแล้ว นางยิ้มออกมาด้วยความประหลาดใจและยินดีในคราเดียวกัน
“ข้าคงไม่ตายซ้ำซ้อนอีกใช่หรือไม่ แล้วผู้ใดกันที่เข้ามาช่วยเหลือวิญญาณของข้าในครั้งนี้กันนะ” นางมีเวลาครุ่นคิดเพียงเล็กน้อย ก่อนที่สุรเสียงลึกลับจะปรากฎดังอยู่รอบทิศทาง
“หานซูหลิน! บัดนี้เจ้าได้รับโอกาสที่สอง ตามที่ได้ร้องขอเอาไว้กับข้า จงรับมันเอาไว้ซะ!!” เสียงปริศนาที่ปรากฏขึ้น ทำให้นางหันดูรอบกาย ทั้งในที่สูงรวมสี่ทิศ และเบื้องล่างในแอ่งน้ำตรงหน้า แต่นางกลับไม่พบกับสิ่งใดทั้งนั้น
“เจ้าเป็นใครกัน ใยถึงช่วยเหลือข้า แล้วข้าต้องแลกกับสิ่งใดหรือไม่”
เสียงของนางดังก้องอบอวลไปทั่ว มันสะท้อนกลับเข้าสู่โสตประสาทของนาง จนทำให้หญิงสาวต้องใช้ฝ่ามืออุดหูเอาไว้
“เจ้าไม่ต้องแลกสิ่งใดทั้งสิ้น จงมองภาพเหล่านี้ซะ!!”
แม้เสียงในสายลมจะบอกว่าให้ดูภาพเสีย แต่หานซูหลินหาได้มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้แม้แต่หรี่ตา ฉับพลันนางก็เริ่มรู้ตัวว่าถูกเจ้าของเสียงที่น่ายำเกรงนี้เชื่อมทุกอย่างเข้าสู่จิตใจเสียแล้ว
“กรี๊ดดด!!”
นางปวดหัวแทบจะระเบิดออกมา เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นกลับหยุดลง ก่อนที่ร่างของนางจะหยุดนิ่งไม่ไหวติง เพื่อรับภาพในสมองที่เข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง
“นี่คือสิ่งที่เจ้าจะมิได้เห็นหลังจากตายลงจากวันนี้! เพียงเท่านี้เจ้าคงหายแค้นเคืองต่อราชวงศ์ที่ทำร้ายน้ำใจของเจ้า”
ภาพที่นางสื่อทางจิตช่างดูโหดร้ายนัก แม้อยากจะปิดตาลงแต่หานซูหลินก็มิอาจทำได้ การเข่นฆ่าที่ไร้ความปราณีปรากฏอยู่ตรงหน้านาง เสียงกรีดร้องของชาวบ้าน และเด็กเล็กดังขึ้นเป็นร้อยคน มันมากกว่าเสียงของนางเมื่อครู่เป็นพันเท่า น้ำตาของชาวเมืองไหลรินรดท่วมกองทหารที่หลั่งโลหิตสีแดงฉาน ย้อมผืนดิน ผืนธง และตำหนักของจักรพรรดิผู้หูเบา ใครสักคนที่ชั่วช้า เริ่มก่อการกบฏขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน ส่วนองค์ชายหลงเทียนที่นางรัก กลับต้องถูกทหารกบฏฆ่าตายบนอานม้าศึก เม่ยเจียงฉีและเสนาบดีกรมการคลังก็นอนตายอยู่กลางโถงพระโรง ทุกตระกูลในเมืองฉางอันต้องสยบให้แก่ดาบที่ไร้ความปราณี โดยเฉพาะฮ่องเต้ หย่งเจิ้น ที่ถูกนำหัวเสียบประจานตรงหน้าประตูทางเข้าเมือง ด้วยดวงตาที่ยังคงเบิกโพลง
เชลยศึกทั้งหญิง เด็กเล็กและคนแก่ ถูกกวาดต้อนออกไปยังแคว้นอื่น ซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าเป็นที่แห่งใด ภาพยมทูตในคราบของนักรบ ยังคงเลือนรางในสายตาของหญิงสาว นางมองไม่เห็นใบหน้าของเขาเลย หรือไม่ก็อีกนัยหนึ่ง นางเองไม่เคยรู้จักแม่ทัพผู้นี้เช่นกัน…
“เป็นเช่นไรล่ะ ผืนแผ่นดินที่ไม่มีเจ้าอาศัยอยู่ ผืนแผ่นดินที่เจ้าหาได้ปกป้องเอาไว้ได้ ถึงแม้เจ้าจะได้เป็นพระชายาตามเจตนารมณ์เดิมก็ตามที แต่การล่มสลายนี้ก็มิได้เกี่ยวกับเจ้าเท่าใดนัก เพราะหญิงสาวตัวเล็กเช่นเจ้ามิอาจปกป้องราชวงศ์ที่สืบต่อกันมาเนิ่นนานกว่าสามร้อยปีนี้ได้ใช่หรือไม่ เจ้าคงคิดว่ามันมิได้เกี่ยวกับตนเอง” ยมทูตกล่าวถึงความสามารถที่มิได้มีอยู่ของนาง แต่หลังจากนั้นเขากลับหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง
“ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้ามิได้มีความสำคัญอันใดต่อการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรใดก็ตาม ข้าเป็นเพียงบุตรสาวของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเท่านั้น นี่คือความจริงที่ว่าบิดาของข้าเป็นเพียงเสนาบดีกรมการยุติธรรม แล้วเหตุใดท่านถึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเล่าความ มันมิได้เกี่ยวข้องกับข้าอย่างที่ท่านเอ่ยมาเสียหน่อย”
หานซูหลินจ้องมองไปยังความว่างเปล่าตรงหน้า นางหารู้ไม่ว่าเจ้าของเสียงอยู่ตรงจุดใด แต่เมื่อครั้นผู้นั้นเปล่งวาจาขึ้นมาจากความมืดมิด นางจึงหันหน้าไปตามแรงสะท้อนนั้น และครานี้มันอยู่ตรงเบื้องหน้าของนาง หญิงสาวตัดสินใจกระโดดเข้าไปจับความว่างเปล่าที่มองไม่เห็นแต่เงา เสมือนว่ามีร่างที่ล่องหนอยู่อย่างนั้น
“ขวั่บ!!” ร่างของนางกลิ้งตกลงไปในแอ่งน้ำ ไม่สามารถที่จะทำได้อย่างใจ นางโง่เขลาเองที่คิดเช่นนั้น
“เจ้าทำอะไรเด็กน้อย เจ้าจะทำอันใด!!”