บทที่2.พนักงานทำความสะอาดคนใหม่
เธอซื้อขนมเด็กติดมือกลับบ้าน อารมณ์เบิกบานจนอดยิ้มไม่ได้ โลกไม่ได้โหดร้ายกับเธอมากนักหรอก อย่างน้อยวันดีๆ ก็ผ่านเข้ามาในชีวิต ที่ควรกังวลมีแค่เรื่องเดียว เธอจะวางแผนการใช้ชีวิตยังไง ต่อจากนี้
เกดจ์ชูมือยิ้มแฉ่ง เธอสอดมือใต้รักแร้ ยกเกดจ์จนพ้นราวกั้น พร้อมกับกดปลายจมูกลงบนพวงแก้มยุ้ยของหลานชาย “ไงอารมณ์ดีจังเลย เพิ่งตื่นหรือไงจ้ะ” เธอทักทายหลานด้วยสำเนียงบ้านเกิด พี่เลี้ยงเอียงคอมอง พลางอมยิ้มให้เธอ
“มาริ อย่าลืมแวะห้องผอ. ด้วยนะ ท่านมาสั่งไว้เมื่อสักครู่ คงมีธุระเรื่องของเกดจ์” มาริสาขมวดคิ้ว อาจจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายของเกดจ์ที่เธอไม่เคยรู้ก็ได้ มะลิไม่เคยเล่าอะไรให้เธอฟังเลย นอกจากแนะนำสั้นๆ เกี่ยวกับลูกชายของมะลิ
สิบวันกับการอยู่ร่วมกับพี่สาวที่ไม่เจอกันนานเกือบสี่ปีเต็ม แววตาของมะลิเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นอกจากความเศร้าแล้ว แววตาของมะลิก็ว่างเปล่า มาริสาพยายามไม่ละลาบละล้วง เธอเองก็มีเรื่องยุ่งๆ เลยไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับรายจ่ายของเกดจ์เลย
“ฝากเกดจ์แปบค่ะ ขอฉันไปหาผอ.ก่อน” มาริสาส่งหลานชายให้พี่เลี้ยงเด็ก เดินหน้าตั้งไปที่ห้องทำงานของเจ้าของเนอสเซอรี่
ก๊อกๆ
เธอเคาะประตูส่งสัญญาณและรอให้คนด้านในอนุญาต
“เข้ามาสิจ้ะ” เสียงแฝงความอ่อนโยนดังลอดออกมา
มาริสาดันประตูให้เปิด เธอส่งยิ้มทักทาย “คุณต้องการพบฉันเหรอคะ”
ความหนักใจที่เผยออกมาทางสีหน้า ทำให้มาริสาใจไม่ดี เธอเพิ่งมีเรื่องน่ายินดีวันนี้ พอตกเย็นข่าวร้ายก็มาเยือนเสียแล้ว
“ฉันแสดงความเสียใจเรื่องของแม่เกดจ์ด้วยนะคะ แต่เราก็ไม่สบายใจนัก หากต้องเก็บเกดจ์ไว้ในความดูแล”
มาริสาไม่เข้าใจนัก เกิดปัญหาอะไรขึ้น ทำไมเนอสเซอรี่จึงปฏิเสธการดูแลหลานชาย
“มีปัญหาเรื่องค้างค่าใช้จ่ายหรือเปล่าคะ ถ้าเรื่องนั้นฉันจะรับผิดชอบต่อเอง”
“ไม่ใช่ค่ะ” คำปฏิเสธทำให้มาริสาใจชื้นขึ้น
“แล้วมีปัญหาตรงไหนคะ?” มาริสาถามต่อ หลังจับใจความคำพูดของอีกฝ่ายได้
นามบัตรสีขาวถูกส่งให้พร้อมกับคำบอกเล่า ที่มาริสาไม่เข้าใจนัก “ไปที่นี่นะคะ ที่นั้นคงเหมาะกับเกดจ์ที่สุด”
ปริศนาเกี่ยวกับมะลิและเกดจ์เพิ่มขึ้นจนมาริสามึนไปหมด
มันเป็นปมที่เธอต้องหาทางคลี่คลาย เธอไม่ชอบสถานการณ์ตอนนี้เลย รอบตัวเธออึมครึมและดูหมองมัว เต็มไปด้วยรอยกังขาที่สะสางไม่ได้
“ขอบคุณค่ะ” มาริสาพึมพำตอบรับ เธอคงต้องจัดการเรื่องหลานชายให้เรียบร้อย ก่อนที่เธอจะเริ่มงาน
“ของส่วนตัวของเกดจ์ ถามหาจากครูพี่เลี้ยงนะคะ”
เป็นคำพูดเสือกไสที่ฟังสุภาพที่สุด เท่าที่เธอเคยได้ยินมา
มาริสาเดินออกมาจากห้องทำงานของผอ. เงียบๆ เธอได้รับของใช้ส่วนตัวของหลาน ทันทีที่โผล่หน้าเข้าไป เธอก้มมองเสื้อผ้าและของเล่นราคาแพงในถุงและแอบสงสัยหน่อยๆ ความจริงเธอควรสะกิดใจตั้งแต่แรก ของทุกชิ้นของเกดจ์ล้วนแล้วแต่มีราคา คุณภาพก็ดีกว่าที่เธอเคยผ่านตามา
รวมทั้งเสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวของมะลิ ที่ยังอยู่ในห้องที่อพาร์ทเม้นท์ด้วย
เธอไม่เคยรู้เรื่องส่วนตัวของมะลิสักอย่าง รวมถึงเรื่องงาน เรื่องพวกนั้นมะลิแทบไม่พูดถึง นอกจากนั่งเหม่อไปวันๆ นอกนั้นมะลิก็ไม่เห็นทำอะไร ตอนแรกมาริสาคิดว่าพี่สาวของเธอซึมเซาหลังคลอด แต่เมื่อทบทวนอีกที เกดจ์โตจนฝากไว้กับเนอสเซอรี่ได้แล้ว มะลิน่าจะมีชีวิตชีวาขึ้น แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม
“มะลิพี่ปิดบังอะไรฉันไว้อีกนะ”
มาริสาพึมพำ ตอนเก็บของส่วนตัวหลานชายเข้าตู้ เธอปล่อยให้เกดจ์นั่งเล่นที่พื้นที่ว่างหน้าทีวี ส่วนเธอก็รีบสำรวจของใช้ที่เหลือ เพื่อคลายปมในใจ
เธอไม่ได้อะไรเลยหลังรื้อห้องนอนมะลิทั้งห้อง
ความสงสัยเธอเพิ่มพูนขึ้นจนเกือบกระอัก ที่ก้นตู้ไม้ใบใหญ่ มีชุดเดรสและรองเท้าราคาแพงหูฉี่หลายคู่ กระเป๋าแบรนด์ดังที่เธอรู้จักดีอีกหลายใบ รวมทั้งเครื่องประดับราคาสูงแบรนด์ดังติดตลาดนั่นอีก ของทุกชิ้นถูกซุกไว้เหมือนของใช้ไม่มีราคา
มาริสายกมือตบหน้าผาก เดินวนไปวนมา
ปริศนาที่ควรถูกคลี่คลาย กลายเป็นปมปัญหาที่ขบไม่แตก