บทที่ 4 ทำตามแผน 1.2
เรือเร็วลำหนึ่งแล่นอยู่เหนือผืนทะเลสีมรกต บนเรือมีชายฉกรรจ์สี่คนนั่งมองทะเลที่พวกเขาคุ้นเคย จะมีเพียงคนเดียวที่หลุบตามองร่างของอักษราที่ถูกมัดมือมัดเท้า มีผ้าผืนใหญ่ปิดปากเอาไว้ เปลือกตาสาวหลับพริ้มและดูเหมือนว่าจะไม่ฟื้นคืนสติง่ายๆ
เวลาผ่านไปราวยี่สิบนาทีเรือเร็วลำนั้นได้จอดอยู่ตรงชายหาดสีขาวที่ทอดยาวประมาณร้อยกว่าเมตร น้ำทะเลใสแจ๋วจนเห็นปลาสีสันสวยงามแหวกว่ายไปทั่วบริเวณ
สมศักดิ์ สมชาย สมปองกระโดดลงจากเรือตามลำดับ เหลือเพียงปุณณ์ที่ไม่คิดจะลงจากเรือ เขากลับมองร่างของอักษราอย่างใช้ความคิด ในระหว่างที่สมองกำลังประมวลอะไรบางอย่างอยู่ ฉับพลันนั้นเสียงร้องไห้ของน้องสาวก็ดังก้อง คำบอกเล่า คำตัดพ้อ คำรำพันเสียใจวนเวียนในหูทั้งสองข้าง ทำให้เขาพลอยเจ็บแทนปนัดดาไปด้วย ปุณณ์จึงทำในสิ่งที่ลูกน้องทั้งสามไม่คิดว่าเจ้านายจะทำ
“ตูม” ร่างของอักษราที่ยังไม่ได้สติ แล้วยังจะถูกมัดมือมัดเท้าและปิดปาก ถูกโยนลงมาจากเรือด้วยมือของเจ้าของเกาะ ลูกน้องทั้งสามมองตากันเลิ่กลั่ก อยากจะไปช่วยสาวน้อยผู้น่าสงสารใจจะขาด แต่ถ้าช่วยมีหวังพวกเขาต้องโดนบาทาของเจ้านายแน่นอน
อักษรารู้สึกตัวเมื่อร่างกายกระแทกกับผืนน้ำ น้ำเค็มๆ ซึมผ่านเนื้อผ้าเข้ามาในปากและจมูกจนเธอเกิดอาการสำลัก เปลือกตาสาวเปิดขึ้นในเวลาต่อมาแต่ก็ต้องหลับลงอีกครั้ง เพราะน้ำทะเลเข้าไปในดวงตาของเธอจนเกิดความแสบ อักษรารีบทะลึ่งตัวขึ้นเหนือน้ำ โดยไม่รู้ว่าเวลานี้ตนเองตกอยู่ในสภาพอย่างไร
“อื้อๆ อื้อๆ” ทันทีที่ขาทั้งสองข้างยืนอยู่บนทรายใต้น้ำ และรู้ว่าตัวเองถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกทั้งข้อมือและเท้า ปากก็เช่นกันหาได้มีอิสระถูกปิดทับด้วยผ้าผืนใหญ่
“อ๊าย!” ความที่ข้อเท้าเล็กถูกมัดด้วยเชือก ส่งผลให้เธอยืนได้ไม่ถนัดนัก เสียการทรงตัวจนร่างคะมำลงไปในผืนน้ำ แต่เธอก็พยายามยืนขึ้นอีกแต่สุดท้ายก็เป็นเหมือนเดิม อักษราจึงเลือกที่จะนั่งลงบนผืนทรายใต้น้ำที่มีความลึกประมาณครึ่งเมตร
อักษรานั่งมองร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำน่าเกรงขาม ใบหน้าของเขามีหนวดเคราขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมกริบมองมายังเธอด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เขากระโดดลงมาจากเรือเร็วก่อนจะเดินลุยน้ำทะเลมาหาเธอ
“ไง ตื่นแล้วเหรอ นึกว่าจะตายเพราะยาสลบซะแล้ว”
เสียงห้าวใหญ่พูดขึ้น ในขณะที่มาหยุดยืนเท้าเอวตรงหน้าเธอ อักษราเงยหน้ามองชายหน้าตาน่ากลัวที่จ้องหน้าเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างหวาดกลัว ไม่เข้าใจว่าเขาทำเช่นนี้กับเธอทำไม จะถามก็ไม่ได้เพราะปากถูกปิดด้วยผ้าผืนใหญ่
อักษราไม่เพียงแค่มองชายร่างตึกนี้เท่านั้น ยังมองไปยังร่างของชายอีกสามคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วย ความกลัวอัดแน่นในใจสาวมากขึ้น สัญชาตญาณบอกเธอว่า ตนเองกำลังมีอันตราย ร่างเล็กจึงกระเถิบตัวหนี พยายามขยับข้อมือที่ถูกมัดไขว้ไว้ทางด้านหลังไปมา เพื่อให้ปมของเชือกนั้นคลายออก แต่ดูท่าจะยากเนื่องจากมันถูกมัดแน่นเหลือเกิน
“จะหนีเหรอ” ปุณณ์พูดเสียงเย็นยะเยือก กระตุกยิ้มน่ากลัว “ฉันบอกได้เลยนะว่ายาก แต่ถ้ามีปัญญาก็ลองดู” เขาพูดไปด้วยย่างเท้าก้าวเข้าไปหาอักษราที่ยังกระเถิบตัวหนีไม่หยุด
“%#@&*^%! %$” คำพูดไม่รู้เรื่อง จับใจความไม่ได้ พูดไม่เป็นภาษาก้องอยู่ในลำคอของอักษรา คำพูดเหล่านั้นที่ไม่อาจเอ่ยให้ใครเข้าใจได้ มันคือคำถามที่ถามชายตรงหน้าว่า จับเธอมาที่นี่ทำไม
“พวกมึงขึ้นไปก่อน ทางนี้กูจัดการเอง”
นายหัวพันธุ์ดิบสั่งลูกน้องเสียงเย็น คนได้รับคำสั่งเดินขึ้นไปบนชายหาดทันที คราวนี้ก็เหลือเพียงปุณณ์กับอักษราเพียงสองคน
“ถ้าเธอไม่ทำร้ายจิตใจน้องสาวของฉันละก็ ฉันไม่มีวันแตะต้องตัวเธอเด็ดขาด แล้วฉันจะทำให้เธอรู้ว่า การที่ทำให้น้องฉันเจ็บปวดใจมากเท่าไหร่ เธอต้องเจ็บมากกว่าหลายสิบเท่า”
พูดจบมือใหญ่จับแขนสาวของเธอไว้มั่น กระชากสุดแรงเพื่อให้อักษราลุกขึ้นยืน ก่อนจะนำร่างของเธอมาพาดบนบ่าแข็งแรงของตัวเอง จากนั้นก็ก้าวเดินขึ้นไปบนชายหาด ไม่สนใจว่าร่างสาวจะดิ้นรนมากแค่ไหน เท้าใหญ่ก็ยังคงก้าวเดินต่อไป ผ่านชายหาดเข้าไปในป่าที่มีต้นไม้รกครึ้ม จนกระทั่งถึงบ้านไม้ชั้นเดียวหลังหนึ่งที่ปลูกเด่นอยู่ตรงน้ำตก
ตุ๊บ อักษราเจ็บจนพูดไม่ออก เมื่อเขาโยนร่างของเธอลงบนพื้นไม้ตรงชานบ้านอย่างไม่ปรานีปราศรัย ไม่สนใจด้วยซ้ำไปว่าเธอจะเจ็บมากแค่ไหน
“เอียด เอียด” ปุณณ์ตะโกนลั่น ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างของเจ้าของชื่อก็วิ่งมาหานายหัวของเกาะทันที
“คะนายหัว มีอะไรคะ?”
“ไปเอากุญแจมือกับโซ่ในบ้านมา”
เขาสั่งเสียงเข้ม เอียดคนในปกครองวัยยี่สิบสามปีรีบวิ่งเข้าไปหยิบของตามที่เจ้านายต้องการ ฝ่ายคนที่ถูกมัดมือมัดเท้ามองหน้าคนสั่งด้วยความตกใจ มองสลับกันไปมาระหว่างร่างของเจ้านายและลูกน้อง รู้สึกไม่ดีกับของสองสิ่งที่ชายหน้าตาดุดันสั่งให้ไปเอา ส่งเสียงร้องถามในลำคอว่า เขาสั่งให้หญิงสาวที่ชื่อเอียดนำสองสิ่งนั้นมาทำไม หรือว่า…
“นี่ค่ะนายหัว” เอียดยื่นของที่เจ้านายหนุ่มต้องการตรงหน้า พร้อมกันนี้ยังหยิบแม่กุญแจดอกหนึ่งติดมือมาด้วย ปุณณ์คว้าของทั้งหลายมาไว้ในมือ ก่อนจะย่อตัวนั่งด้วยเข่าใกล้ร่างของอักษรา
“อื้อๆ อื้อ” อักษราสะบัดข้อมือออกจากมือใหญ่ เพื่อไม่ให้เขาทำสิ่งที่ต้องการ ส่งเสียงร้องห้ามไม่หยุด แต่ทว่าไม่มีคำพูดที่เป็นประโยคไหลผ่านปากบางนุ่ม จะมีแค่เพียงเสียงอื้อๆ อ้าๆ ที่ฟังไม่ได้ศัพท์แทน น้ำตารินไหลเป็นทาง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายหนุ่มตรงหน้าถึงได้ทำกับตนเช่นนี้
“อย่าดิ้น!” เขาตวาดเสียงดังราวกับฟ้าผ่า ร่างงดงามสะดุ้งตกใจ หลับตาแน่นราวกับเสียงพิโรธนั้น “ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็อย่าดิ้น”
ปุณณ์ตวาดอีกรอบ แต่เธอก็หยุดได้ชั่วครู่ อักษราก็ดิ้นรนต่อไป ใช้จังหวะที่มือทั้งสองข้างถูกปล่อยให้เป็นอิสระจากเชือกผลักร่างหนาเต็มแรงแต่ถึงเขาจะเซไปตามแรงผลัก อักษราก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจคิด เนื่องจากข้อเท้าทั้งสองข้างถูกมัดอย่างแน่นหนา
โครม! วินาทีนี้อักษราไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ลืมคิดทุกสิ่งอย่างนอกจากจะบอกตัวเองว่าต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้ สุดท้ายเธอก็ล้มหัวคะมำ
“มานี่!” ปุณณ์ลุกขึ้นยืน กระชากร่างอ้อนแอ้นที่กำลังใช้มือยันกายให้ลุกขึ้นนั่งอย่างแรง แล้วลากกลับมายังจุดเดิมที่เธอกระเสือกกระสนหนี “อย่าคิดหนีเป็นครั้งที่สอง เพราะมันจะไม่มีคำว่าปรานีสำหรับเธอ” พูดจบเขาก็ใช้กุญแจมือคล้องข้อมือเล็ก กุญแจมืออีกข้างคล้องไว้กับซี่ไม้ระเบียงที่ทำอย่างแน่นหนา
“อื้อๆ อือ” เธอมองดูข้อมือเล็กของตนที่หมดอิสรภาพทั้งน้ำตา ส่งเสียงพูดไม่เป็นภาษาตลอดเวลา กระตุกข้อมือหลายครั้งหวังจะให้กุญแจที่คล้องปลดปล่อยให้ตนเองเป็นอิสระ
แต่ไม่เลย…มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด
“ไม่!…ปล่อยฉัน ปล่อยฉันนะ ฉันไม่ใช่นักโทษนะ” อักษราตะโกนพูดทันทีที่มือเล็กอีกข้างที่ไม่ได้ถูกคล้องกุญแจมือดึงผ้าที่ปิดปากของตนเองออก เมื่อเห็นเขากำลังแก้เชือกที่มัดข้อเท้าของเธอ จากนั้นก็ใช้โซ่ล่ามข้อเท้าเล็กไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างปล่อยให้เป็นอิสระ นำปลายโซ่ไปคล้องไว้กับเสานอกชาน วินาทีนี้อักษราคิดว่า ตนเองเหมือนนักโทษก็ไม่ปาน
“คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับฉันนะ ฉันไม่ใช่นักโทษ ปล่อยฉันสิ ปล่อยฉัน”
อั้ก อั้ก
อักษราขยับปลายเท้าไปมา มือที่ว่างเว้นทุบไปยังลำตัวของเขาหลายที่ หวังจะให้เขาปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ แต่ดูท่าทางแล้วมันยากเหลือเกินในความรู้สึก
“ฉันปล่อยเธอแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ อย่าพูดมาก อย่าแหกปาก อย่าตะโกนส่งเสียงให้ฉันหนวกหูหรือรำคาญใจ ไม่อย่างนั้นเธอได้มีผัวทีเดียวเป็นสิบเอาให้หายร่านจะได้ไม่ไปแย่งแฟนของใครอีก แล้วอย่าคิดลองดี เพราะคนอย่างฉันพูดจริงทำจริง จำใส่กะโหลกกลวงๆ ของเธอเอาไว้…น้ำหอม”
เสียงนั้นช่างเยือกเย็นจนผู้ฟังสะท้านไปทั้งหัวใจ คำพูดของเขามาพร้อมกับคำขู่ที่เรียกความหวาดกลัวขึ้นไปถึงสมอง อักษราไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร แต่เท่าที่เห็นน่าจะเป็นเจ้านายของเกาะแห่งนี้ ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่าสถานที่ที่ตนนั่งอยู่นั้น อยู่ที่ใดของเมืองไทย
และมีอีกข้อหนึ่งที่อักษราสงสัยคือ เขาคนนี้รู้จักชื่อเล่นของเธอได้อย่างไร ทั้งทีไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอักษราช้อนสายตามองหนุ่มหน้าดุ ใจร้ายทั้งน้ำตา เธอไม่เข้าใจว่าตนเองไปทำอะไรให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจอะไรหนักหนา ถึงได้ทำกับเธอแบบนี้
ปุณณ์มองเห็นดวงตาคู่นั้นแล้วรู้สึกแปลกๆ ใจมันเสียดทานอย่างบอกไม่ถูก ความด้านชาในจิตใจเหมือนจะค่อยๆ หลุดร่อน แต่พอนึกถึงใบหน้าและเสียงสะอื้นของปนัดดาทางโทรศัพท์ หัวใจของคนเป็นพี่ลุกโชนขึ้นมาทันทีทันใด
ใครทำร้ายเขา เขาไม่ว่า แต่อย่าทำร้ายปนัดดา ไม่เช่นนั้นพี่ชายคนนี้จะฆ่าล้างบางทั้งตระกูล ใครทำน้องสาวเขาเจ็บ คนผู้นั้นต้องเจ็บยิ่งกว่า ครูสาวคนนี้ก็เช่นกัน ต้องได้รับบทเรียนจากการแย่งคนรักของปนัดดา เอาให้หลาบจำไปจนวันตาย
ดวงตาของทั้งคู่สบกันนิ่ง ฝ่ายหญิงทอดสายตาเว้าวอน น่าสงสาร แต่ทว่านัยน์ตาของเขาไม่มีความใยดีแฝงอยู่เลย ร้ายกาจมุ่งร้ายเป็นที่สุด
“คุณจับตัวฉันมาทำไม ฉันไปทำอะไรให้คุณ?” น้ำตาหลั่งไหลพร้อมกับคำถามที่หลั่งริน แต่ทว่าไม่มีคำตอบใดๆ ออกจากปากของปุณณ์ มีเพียงสายตาดุๆ ส่งมาให้ผู้ถาม
“เอียด หาข้าวให้ผู้หญิงคนนี้ด้วย ฉันจะเข้าถ้ำ” เขาหันไปสั่งเอียดที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก่อนจะหันมาทางเชลยสาวที่นั่งมองหน้าเขาทั้งน้ำตา “ต่อให้เธอแหกปากร้องจนคอแตกก็ไม่ใครช่วยเธอได้หรอก อย่าพยายามเสียให้ยาก” พูดจบก็ก้าวเดินไปยังด้านหลังของน้ำตกทันที
“ฮือ…ฮือ…แม่จ๋า ช่วยน้ำหอมด้วย ฮือ” อักษราร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น เธอเองก็รู้ตัวดีว่าคงจะออกไปจากเกาะแห่งนี้ยากไม่ต่างกับงมเข็มในมหาสมุทร แค่จะให้ตนเองเป็นอิสระจากกุญแจมือกับโซ่ยังแทบมองไม่เห็นทาง คำว่าหนี จึงห่างไกลจนมองไม่เห็นก็ว่าได้
เอียดมองผู้หญิงที่ผิวพรรณหน้าตาดีที่ถูกกักกันด้วยความสงสารจับใจ เธอไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่า นายหัวสุดโหดของตนจับสาวคนนี้มาทำไม แต่เอียดก็ไม่อาจจะถามหาเหตุผลนั้นกับปุณณ์ได้ นอกจากทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว
คนงานสาวผิวคล้ำเดินหายไปสักพักก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับข้าวราดแกงกับไข่เจียว แล้วยังมีกระบอกน้ำอีกหนึ่งขวดติดมือมาด้วย
“กินซะ อย่าเอาแต่ร้องไห้ เพราะน้ำตาไม่ช่วยอะไรเธอ” เอียดวางอาหารข้างร่างของเชลยสาว พูดในสิ่งที่เป็นความจริง
“เธอรู้ไหมว่าเขาทำกับฉันแบบนี้ทำไม ฮือ?” อักษราเอ่ยถามทั้งน้ำตา
“ฉันไม่รู้หรอก แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย เดี๋ยวพานจะซวยโดยไม่รู้ตัว” เอียดตอบกลับ “เธอก็กินข้าวเถอะแล้วอย่าคิดหนีถ้าไม่อยากเจ็บตัว บอกไว้ก่อนนะว่า นายหัวน่ะโหดสุดๆ ใครขัดคำสั่งตายสถานเดียว”
เอียดกล่าวเตือนด้วยความหวังดี ก่อนจะเดินไปทำงานตามหน้าที่ของตน ปล่อยให้เชลยสาวนั่งมองอาหารข้างกายที่หน้าตาน่ากิน แต่ทำไมหนอ อักษราถึงกินมันไม่ลง นั่งจมอยู่กับน้ำตาและความสงสัย ความไม่เข้าใจต่อไปเพียงลำพัง