บทที่ 5 สาวเอาแต่ใจ 1
สามวันผ่านไป
ตลอดสามวันมานี้พีรวัฒน์เหมือนคนบ้าขึ้นไปทุกวัน เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาไม่สามารถติดต่ออักษราได้เลยนับตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาและเธอไปทานข้าว ไปดูหนังด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ที่โทรเท่าไหร่ระบบอัตโนมัติก็จะพูดว่า ‘เลขหมายที่ท่านเรียกในขณะนี้ ไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว’ ไปหาที่บ้านก็ไม่พบ ไปหาที่โรงเรียนก็ไม่พบอีก ซึ่งอักษราก็ไม่ติดต่อกลับมายังโรงเรียนด้วยว่า สาเหตุของการหยุดงานแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นคืออะไร และนั่นยิ่งทำให้ความเป็นห่วง ถาโถมเข้ามาในใจของพีรวัฒน์มากมาย
ครั้นจะออกตามหาเหมือนที่ควรจะเป็นก็ทำไม่ได้ เนื่องจากปนัดดาโทรศัพท์จิกตามเขาตลอดเวลา เช้า สาย บ่าย เย็นก็ว่าได้ จะอาศัยช่วงเวลาทำงานออกไปตามหาอักษรา หญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจยิ่งไม่ได้ใหญ่เพราะปนัดดาส่งคนมาเฝ้าเขาหน้าห้อง หากเขาออกไปไหนที่ไม่ใช่เรื่องงานให้ตามติดไปด้วยไม่ให้คลาดสายตา ในความรู้สึกของพีรวัฒน์เวลานี้ เขาเหมือนนักโทษที่ถูกคุมเข้ม
“โทรหาใครเหรอคะ แต้วเห็นพี่พีกดมือถือเป็นร้อยหนแล้ว?” ปนัดดาแกล้งถาม ทั้งที่รู้คำตอบดีว่าเขาโทรศัพท์ถึงใคร
“อย่ายุ่งน่า” เขาตอบกลับอย่างคนอารมณ์ไม่ดี เสียงแข็งจนอีกฝ่ายหน้าตึง
“ไม่ยุ่งไม่ได้ค่ะ เพราะพี่พีเป็นสามีของแต้ว แต้วผิดหรือคะที่จะรู้ว่า สามีของตัวเองโทรศัพท์เป็นบ้าเป็นหลังหาใคร”
เธอสวนกลับทันที น้ำเสียงชวนหาเรื่อง พีรวัฒน์คร้านที่จะเถียงด้วย เพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรมากนัก ปนัดดาคือผู้หญิงที่เขาจะต้องพึ่งพาด้วย
“…” พีรวัฒน์ไม่ตอบ เขาลุกขึ้นยืนหย่อนโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะก้าวเดินไปยังประตูห้อง ร่างสมส่วนของสาวเอาแต่ใจรีบวิ่งมาขวางทันที
“พี่พีจะไปไหน?” ปนัดดาถามเสียงขุ่น จ้องหน้าเขานิ่ง
“เบื่อ” เขาพูดสั้นๆ มองหน้าเธอกลับ “จะออกไปหาอะไรดื่มสักหน่อย” พูดจบก็เบี่ยงตัวไปยังประตู มีหรือที่คนอย่างปนัดดาจะปล่อยให้พีรวัฒน์ไปไหนคนเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่มีอักษราเข้ามาข้องแวะ ทว่าเธอก็ไม่ไว้ใจ
“แต้วไปด้วย” ปนัดดาวิ่งไปยังห้องนอน คว้ากระเป๋าสะพายยี่ห้อหรูคล้องไว้ที่แขน จากนั้นก็เดินแกมวิ่งตามพีรวัฒน์ที่กำลังเดินไปยังลิฟต์อย่างรวดเร็ว ไม่สนใจสีหน้าสุดเซ็งของคนที่เธอตามติดเลยสักนิดเดียว
จุดหมายปลายทางที่พีรวัฒน์เดินทางไปก็คือ บ้านของบิดามารดา เพราะสถานที่แห่งนี้ทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัด ไม่รู้สึกว่ามีใครจับจ้องเขาทุกฝีก้าว เป็นสถานที่ที่เขาค้นพบกับคำว่าอิสระ
“อ้าว พี หนูแต้ว” เจ้าของบ้านทักลูกชายและว่าที่ลูกสะใภ้ที่เดินเข้ามาในห้องรับแขก
“สวัสดีครับคุณแม่ / สวัสดีค่ะคุณแม่” พีรวัฒน์และปนัดดาพนมมือไหว้ผู้สูงวัย
“มาที่นี่ทำไมไม่บอกแม่ล่ะ แม่จะได้เตรียมของกินไว้ให้”
“ผมเซ็งๆ น่ะครับก็เลยแวะมาหาคุณพ่อคุณแม่” พีรวัฒน์พูดออกไปอย่างนั้น แท้จริงแล้วเขามีเรื่องบางเรื่องจะให้บิดาช่วยต่างหาก “คุณพ่ออยู่หรือเปล่าครับ ผมมีเรื่องงานจะปรึกษานิดหน่อย”
“คุณพ่ออ่านหนังสืออยู่ในห้องรับแขกน่ะพี” ผู้เป็นแม่ตอบ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ว่าที่ลูกสะใภ้ผู้ร่ำรวย
“ผมขอตัวไปหาคุณพ่อก่อนนะครับ” พีรวัฒน์ลุกเดินไปยังห้องนั่งเล่นทันทีที่พูดจบ ปล่อยให้มารดาอยู่กับปนัดดาตามลำพัง
“วันนี้หนูแต้วอยากทานอะไรลูก แม่จะทำให้ทาน” อรุณวดีเริ่มโหมดเอาใจว่าที่ลูกสะใภ้
“แต้วยังไงก็ได้ค่ะคุณแม่” ปนัดดาตอบกลับเสียงหวาน กิริยาสุภาพไม่มีทีท่าเอาแต่ใจ
“วันนี้พีมาบ้าน แม่ว่าเราทำของโปรดของพีดีกว่านะ เอาอะไรดีนะ…” นางทำท่านึก “ทำสละลอยแก้วดีกว่านะ เมื่อวานนี้น้องของแม่เอาสละมาให้ถุงใหญ่เลย ตาพีชอบกินมากด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณแม่สอนแต้วทำหน่อยนะคะ วันหน้าแต้วจะได้ทำให้พี่พีทานบ้าง”
แม้ว่าปนัดดาจะไม่ชอบทำอาหาร แต่เป็นเพราะความรักที่เธอมีต่อพีรวัฒน์ และต้องการให้เขาเห็นความดี ความตั้งใจที่ตนเองมีให้เขา พีรวัฒน์จะได้หันมามองเธอบ้าง เพียงแค่น้อยนิดปนัดดาก็ดีใจแล้ว
“ได้สิ หัดทำกับข้าวไว้บ้างก็ดีนะหนูแต้ว พีไม่ชอบกินแกงถุงหรือว่าของกึ่งสำเร็จรูปที่ซื้อมาจากห้างแล้วมาอุ่นในไมโครเวฟ ถ้าวันไหนไม่อยากทำค่อยออกไปหาอะไรทานนอกบ้านกัน”
นางรู้ดีว่าการแต่งงานของลูกชายในครั้งนี้ ไม่ได้มาจากความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย จะพูดได้ว่าฝ่ายหญิงเต็มใจแต่งเพราะซื้อเจ้าบ่าวด้วยเงินทุนที่เข้ามาพยุงบริษัทของฝ่ายชาย ฉะนั้นความรักจึงหาได้มีในจิตใจของพีรวัฒน์แม้แต่น้อยนิดเพราะหัวใจของลูกชายของนางมีให้อักษรา คุณครูอนุบาลแสนสวยและเรียบร้อยคนเดียวเท่านั้น
“ค่ะคุณแม่ แต้วจะพยายามค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเริ่มกันเลยนะ” อรุณวดีลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินนำว่าที่ลูกสะใภ้ไปยังห้องครัว
ทางด้านพีรวัฒน์เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องนั่งเล่นตามลำพังกับบิดา เขาจึงเปิดปากเล่าความอึดอัดที่อยู่ในใจจนหมดสิ้น สีหน้าของเพิ่มศักดิ์ผู้เป็นพ่อเรียบเฉยหลังจากที่ได้รับรู้ความรู้สึกของลูกชาย
“แล้วพีจะให้พ่อทำยังไง?” เพิ่มศักดิ์ถามตรงๆ
“ผมอยากให้คุณพ่อช่วยตามหาน้ำหอมให้ผมหน่อยครับ ผมทำอะไรไม่ค่อยถนัด แต้วตามผมแจเลย กระดิกตัวนิดหนึ่งแต้วก็รู้แล้วว่าผมทำอะไร ผมอึดอัดจะแย่อยู่แล้วครับคุณพ่อ”
“จะให้ช่วยยังไงละก็บอกมาสิ” เพิ่มศักดิ์เองก็เอ็นดูอักษราไม่น้อย กิริยามารยาทเรียบร้อย วาจาอ่อนหวาน วางตัวดี เสียอย่างเดียวคือ จน
“ผมอยากขอให้เพื่อนคุณพ่อที่เป็นตำรวจช่วยออกตามหาน้ำหอมให้ผมครับ ผมเป็นห่วงน้ำหอมนี่ก็หายหน้าหายตาไปสามวันแล้ว โทรไปเป็นร้อยๆ รอบก็ปิดเครื่องตลอด” ความเป็นห่วงคนรักตอนนี้แน่นอกแทบจะระเบิดออกมาวันละหลายๆ รอบ
“พ่อล่ะสงสัยจริงๆ ว่าน้ำหอมจะหายไปไหน พีบอกพ่อเองไม่ใช่เหรอว่า น้ำหอมไม่มีญาติที่ไหน เป็นเด็กกำพร้าที่อยู่กับพ่อแม่บุญธรรมที่เพิ่งเสียไปเมื่อห้าปีก่อน มีเพื่อนก็ไม่มากแล้วอย่างนี้จะหายไปไหนได้”
เพิ่มศักดิ์คิดไม่ออกว่าอักษราจะหายไปดื้อๆ แบบนี้ได้อย่างไร จะไปหาญาติมิตรสหายที่ไหนก็คงไม่ใช่ จะทิ้งบ้านที่เป็นมรดกชิ้นสุดท้ายของบิดามารดาก็ไม่ใช่ใหญ่ เพราะอักษรารักบ้านหลังนี้มาก จะหนีตามผู้ชายข้อนี้ลืมไปได้เลย เขามั่นใจว่าอักษราไม่มีวันทำเรื่องแบบนี้แน่นอน หากเป็นปนัดดาก็ว่าไปอย่าง
“นั่นสิครับคุณพ่อ ผมก็คิดไม่ออกว่าน้ำหอมจะไปไหน โทรไปถามชมพูกับแดน ทั้งคู่ก็ไม่รู้ไม่เห็น จะไปแจ้งความก็กลัวว่าแต้วจะอาละวาด หาว่าผมอย่างนั้นอย่างนี้พานจะไม่ให้เงินเราด้วย ผมก็เลยมาหาคุณพ่อนี่แหละครับ” เพิ่มศักดิ์เข้าใจความจำเป็นของลูกชาย เพราะเงินที่จะได้จากปนัดดาสำคัญกว่าเรื่องของอักษรา หากออกตัวมากไปอาจทำให้แหล่งเงินแหล่งทองไม่พอใจเอาได้
“พ่อไม่มีปัญหาอยู่แล้ว พ่อจะช่วยพีตามหาน้ำหอมเอง เราจะเริ่มต้นตรงไหนดีล่ะ?” พีรวัฒน์ยิ้มเต็มใบหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของบิดา
“อย่างที่ผมบอกไป ผมอยากให้คุณลุงถวิลช่วยตามหาน้ำหอมครับ ผมว่ามันเป็นทางเดียวที่ผมคิดออกตอนนี้”
พีรวัฒน์อาศัยถวิล นายตำรวจยศพันโทเพื่อนสนิทของบิดาในการออกตามหาคนรัก เนื่องจากตำรวจมักมีสายลับฝีมือเยี่ยมไว้คอยรับงานอยู่แล้ว คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับงานเล็กๆ แค่นี้
“ได้ ไม่มีปัญหา พ่อจัดการให้” เพิ่มศักดิ์รับคำลูกชาย พีรวัฒน์มีสีหน้าดีขึ้น ความหนักอดหนักใจลดทอนลงไปได้ในระดับหนึ่ง แล้วเขาก็คิดว่าอีกไม่นานคงจะได้ข่าวคราวอักษรา และภาวนาให้เธอติดต่อกลับมาหาเขาในเร็ววันนี้
ด้านในครัว
ปนัดดาตั้งใจทำอาหารตามที่อรุณวดีสอนทุกอย่าง แม้ว่าจะไม่ชอบทำอาหารก็ตามที อีกทั้งต้องอดทนยืนทำอาหาร หั่นผักทำโน่นนั่นนี่ที่เธอคิดว่ามันยุ่งยาก สู้ไปนั่งรอให้อาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะก็ไม่ได้ หรือไม่ก็ไปทานอาหารในร้านหรูๆ ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องยุ่งยาก ไม่ต้องทนร้อนอยู่หน้าเตา
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ วันนี้ปนัดดาตั้งใจทำอาหารเพื่อคนที่ตนรัก ทุกขั้นทุกตอนของการปรุงอาหาร เธอมุ่งมั่นทำอย่างเต็มที่ ในที่สุดอาหารจานแรกในชีวิตก็เสร็จสิ้น
“เห็นหรือเปล่าหนูแต้ว ว่าการทำอาหารมันไม่ยากอย่างที่คิด”
อรุณวดีพูดขึ้นเมื่อการทำไข่ตุ๋นบรรลุเสร็จสิ้น ปนัดดามองอาหารจานแรกที่ตนทำด้วยความภาคภูมิใจ แล้วหวังว่าพีรวัฒน์จะถูกใจอาหารจานนี้
“ค่ะคุณแม่ ไม่ยากเลยค่ะ แต่ก็ไม่ง่ายนะคะ ไม่รู้ว่าพี่พีจะชอบหรือเปล่า?” ในความภาคภูมิใจปนัดดายังมีความกังวลแฝงอยู่
“ต้องชอบสิจ๊ะ ไข่ตุ๋นเป็นอาหารจานโปรดของพีเลยนะ รับรองว่าพี่จะต้องทานจนหมดชามแน่ๆ”
ว่าที่แม่สามีให้กำลังใจปนัดดา
“ค่ะคุณแม่” ว่าที่ลูกสะใภ้พอมีกำลังใจขึ้นมานิด
“เดี๋ยวแม่ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ หนูแต้วช่วยดูแกงในหม้อให้แม่หน่อย ถ้าเดือดแล้วให้ใส่มะเขือจานนี้ลงไปในหม้อนะลูก”
“ค่ะคุณแม่” ปนัดดารับคำ ก่อนจะหันไปหั่นผักที่อยู่ในตะกร้า ใบหน้าสาวอาบไปด้วยรอยยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงคำชมจากปากพีรวัฒน์จากรสชาติของไข่ตุ๋นฝีมือเธอ
อรุณวดีเดินเข้าไปในห้องน้ำตามที่บอกไว้จริงๆ แต่ไม่ได้เดินกลับไปในครัวเหมือนที่ควรจะเป็น นางกลับเดินไปยังห้องนั่งเล่นแทน เนื่องจากมีเรื่องหนึ่งจะบอกลูกชาย
“คุยอะไรกันอยู่สองพ่อลูก หน้าตาเคร่งเครียดเชียว” อรุณวดีทักสามีและบุตรชายหลังจากที่หย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาข้างสามี
“กำลังคุยกันเรื่องน้ำหอมน่ะ” เพิ่มศักดิ์ตอบภรรยา
“เรื่องน้ำหอม เรื่องอะไรคะคุณพี่?” อรุณวดีถามด้วยความฉงน พีรวัฒน์จึงทำหน้าที่เฉลยความข้องใจของมารดา
“หายไปดื้อๆ เลยเหรอ น้ำหอมอาจจะไปเที่ยวที่ไหนคนเดียวโดยที่ไม่อยากจะบอกให้ใครรู้ก็ได้นะ” อรุณวดีออกความคิดเห็นหลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราว
“ที่แม่พูดมามันก็น่าคิดนะพี” เพิ่มศักดิ์เห็นด้วยกับคำพูดของภรรยา ทำไมเขาถึงลืมคิดข้อนี้ไปนะ
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับคุณพ่อ คุณแม่ ผมรู้จักนิสัยของน้ำหอมดีครับว่าไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน ยิ่งตอนนี้ยังไม่ปิดเทอม น้ำหอมไม่มีวันทิ้งเด็กๆ ไปเที่ยวแน่ๆ ครับ”
พีรวัฒน์รู้จักอักษราดีว่า มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่มากแค่ไหน ไม่มีวันทิ้งเด็กนักเรียนที่ต้องดูแลไปแบบไม่บอกกล่าวเช่นนี้ อีกทั้งช่วงเวลาเที่ยวของอักษราจะเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันหยุดตามเทศกาล และช่วงปิดเทอมเท่านั้น ฉะนั้นข้อนี้ตัดทิ้งไปได้เลย