๑.๒ ห้วงหวาม
หลังจากคู่หมั้นหนุ่มบอกเช่นนั้นและคนเป็นพ่อก็อนุญาต อารยาจึงกลับขึ้นไปแต่งตัวบนห้องอีกรอบ หายไปนานกว่าครึ่งชั่วโมงก็กลับลงมาใหม่ ด้วยความสวยสดใสที่สามารถสะกดสายตาคนมองไปได้หลายวินาทีทีเดียว
ร่างบางเจ้าของส่วนสูง ๑๖๗ เซนติเมตรอยู่ในชุดเดรสสั้นแบบออกงานกลางคืน มีสายเดี่ยวเล็กๆ คล้องไหล่ สีเหลืองของชุดขับผิวขาวๆ ให้ดูเนียนลออตามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ใบหน้ารูปไข่เติมแต่งด้วยเครื่องสำอางแค่บางเบา แต่ก็ทำให้เธอดูเป็นสาวเต็มตัวและน่ามองไปอีกแบบ
ชัชวินลุกขึ้นยืนเอามือล้วงกระเป๋า ไม่ได้เอ่ยชมแต่มองแบบพอใจอยู่เงียบๆ ขณะที่อารยาขยับไปหาพ่อแม่ของเธอ
“เอยไปก่อนนะคะคุณพ่อคุณแม่”
“อย่าดื้อกับอาชัชนะลูก” วิยะดาบอกลูกสาว เธอเองก็คิดไม่ต่างจากสามีเท่าใดนัก การหมั้นที่ไม่ได้เกิดจากความรักระหว่างชัชวินกับอารยาไม่ใช่เรื่องที่คนเป็นแม่สบายใจนักหรอก หากเป็นไปได้เธอก็อยากให้ชัชวินรักลูกสาวของตนก่อนจะแต่งงานกัน จึงย้ำกับลูกสาวแบบไม่ให้น่าเกลียด
“ค่ะคุณแม่...เอยจะไม่ดื้อ”
รับปากกับแม่เสร็จเจ้าของร่างบางก็ขยับไปยืนใกล้กับร่างสูง ชัชวินจึงเดินนำไปยังรถราคาเหยียบสี่ล้านของตน เปิดประตูให้อารยาเข้าไปนั่งเบาะหน้าคู่กับคนขับ จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างนุ่มนวล
ชัชวินรับบัตรจอดรถ แล้วขับรถไปบนชั้นจอดรถของโรงแรม จากนั้นทั้งคู่ก็ลงจากรถและเดินเข้าลิฟต์ไปเงียบๆ พร้อมกัน อารยาเกร็งพอสมควร เพราะแม้ชัชวินจะพูดคุยบ้าง แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนิทสนมกับเธอเหมือนคู่รักคู่อื่นๆ คู่หมั้นสาวจึงได้แต่เดินสงบปากสงบคำอยู่ข้างเขา
มือใหญ่ขยับไปกดลิฟต์ที่จะพาขึ้นไปยังชั้นที่อยู่สูงขึ้นไป เมื่อลิฟต์มาเขาก็เปิดทางให้เธอเข้าไปข้างในก่อน ก่อนที่ร่างสูงจะขยับตามไปกดปิดลิฟต์และปุ่มตัวเลขห้าสิบห้า
ลิฟต์เคลื่อนตัวหลังจากนั้น ท่ามกลางบรรยากาศที่ต่างคนต่างเงียบ อารยาแอบหวามไหวไปกับการอยู่ในที่แคบๆ กับคู่หมั้นหนุ่มใหญ่แบบสองต่อสองเป็นครั้งแรก กลิ่นน้ำหอมแบบผู้ชายและเสน่ห์อันเหลือล้นที่แผ่ซ่านมาจากร่างสูงใหญ่ของเขาทำให้เธอรู้สึกคล้ายกับมีผีเสื้อหลายร้อยตัวบินวนอยู่ในท้อง
“อามาที่นี่บ่อยเหรอคะ” เสียงหวานเอ่ยถามก่อนเพื่อทำลายความเงียบ ทำให้ชัชวินหันมามองพร้อมกับตอบคำถามนั้น
“ก็ไม่บ่อย สามสี่ครั้งได้”
“เหรอคะ” อยากจะถามต่อว่าเขามากับใคร มาทำอะไร แต่ก็ไม่กล้าเพราะดูจะละลาบละล้วงเกินไป จึงได้แต่พูดสั้นๆ แค่นั้น
“แล้วเอยล่ะ เคยมาที่นี่บ้างหรือเปล่า” ชัชวินถามกลับบ้าง
“ไม่ค่ะ ส่วนใหญ่เอยกับเพื่อนๆ จะไปที่...อุ๊ย!”
อารยายังพูดไม่ทันจบก็อุทานขึ้น เพราะไฟในลิฟต์ดับพรึบจนมืดสนิท พร้อมกับที่การเคลื่อนไหวของลิฟต์หยุดชะงักลง ร่างบางขยับเข้าไปเบียดร่างใหญ่พร้อมกับตวัดแขนโอบรอบเอวเขาอย่างเป็นอัตโนมัติ
“ไม่ต้องตกใจนะแค่ไฟตกน่ะ ดูเหมือนข้างนอกฝนจะตกหนัก สักพักไฟก็น่าจะมา” เขาเอ่ยปลอบอย่างอบอุ่น “เอยกลัวเหรอ”
แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดแต่อารยาก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้ใบหน้าหล่อคมคร้ามของเขาอยู่ห่างกับใบหน้าของเธอแค่ไม่ถึงคืบ เขาคงก้มหน้าลงมาพูดเพราะลมหายใจอุ่นๆ อยู่ใกล้แค่นี้
“เปล่าค่ะ”
“ไม่กลัวแล้วทำไมกอดอาซะแน่น”
คำถามนั้นไม่เชิงว่าต้องการคำตอบ แต่เหมือนเขาต้องการจะยั่วเย้ามากกว่า อารยาจึงได้แต่เก้อเขิน
“เอย...เอ่อ...เอยขอโทษค่ะ เอยจะเอามือออกเดี๋ยวนี้ละ”
“แต่อาไม่อยากให้เอยเอาออก”
“แล้วอาจะ...”
กำลังจะถามว่าเขาต้องการจะให้เธอทำแบบไหน แต่พูดยังไม่ทันจบเสียงพูดก็หายไป เพราะจู่ๆ ปากก็ถูกประกบ อารยายอมรับว่าตัวเองถึงกับตัวแข็งทื่อ ไม่ทันตั้งรับกับจูบนั้นจริงๆ ทว่ามันก็เป็นเพียงครู่เดียว สมาธิทั้งหมดของเธอก็มาจดจ่ออยู่กับปากของเขาที่บดเบียดลงมา
อาว์...นี่เองหรอกเหรอ รสสัมผัสจากริมฝีปากของผู้ชายแท้ๆ แค่เขาแตะลงมาเบาๆ ก็ทำเอาท้องน้อยของเธอวูบโหวงไปหมด
ชัชวินบดคลึงเบาๆ เรียวปากนุ่มก็เผยอขึ้นอย่างเปิดทาง อารยาไม่เคยจูบกับใครมาก่อน แต่ด้วยสัญชาตญาณหรืออะไรบางอย่าง ทำให้รู้ว่าคู่หมั้นหนุ่มกำลังจะแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปากของเธอ และเธอก็อยากให้เขาทำเช่นนั้น จะว่าเธอใจง่ายหรืออะไรได้ แต่มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผู้ชายคนนี้เพียงคนเดียวจริงๆ
แสงสว่างในลิฟต์สว่างพรึบขึ้นพร้อมๆ กับการรอคอยของอารยาดับวูบลง ขณะที่ลิ้นหนากำลังจะยื่นเข้าสู่โพรงปากนุ่มที่เปิดรอต้อนรับอยู่
“อาอยากจูบต่อนะ แต่ลิฟต์กำลังจะถึงแล้ว” เขากระซิบเบาๆ หลังจากเงยหน้าขึ้น
อารยาได้แต่หน้าแดงซ่าน ไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร จึงได้แต่ยืนเงียบๆ เพื่อรวบรวมสติอารมณ์ออกจากห้วงหวามที่จู่ๆ ก็สะดุดลงโดยไว