ตอนที่ 2 : เหตุใดจึงยอม
ตอนที่
[2]
เหตุใดจึงยอม
สรุปแล้วนางคือคนที่ซวยมาก ๆ คนหนึ่ง ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ไปเดินห้างในวันนั้น กลับมีนางผู้เดียวที่ตายอย่างอนาถในขณะที่คนอื่นนั้นรอดกันหมด หากไม่เรียกว่าซวยมาก นี่จะเรียกว่าอย่างไร
หมูกระทะก็ไม่ได้กิน
ดันมาตายอีก!
นางไม่อยากโทษสหายสนิทอย่างเช่นข้าวปั้นหรอก เพราะหากเป็นนาง นางก็คงจะลำบากใจเช่นกัน ชีวิตกำลังไปได้ดีแท้ ๆ แต่ก็อาจจะรู้สึกขัด ๆ ในใจเล็กน้อย เพราะในกึ่งความฝันนั้น ข้าวปั้นได้บอกว่าขอให้นางไปสู่ภูมิที่ดี มีแต่สิ่งดี ๆ ชีวิตรุ่งเรือง ร่ำรวยเงินทองและอย่าได้พบอุปสรรคหรือเรื่องอนาถใจเฉกเช่นชาตินี้อีก
แต่ทว่า.....
ดูนางยามนี้สิ นี่มันพบกับอุปสรรคและลำบากยิ่งกว่าชาติที่แล้วเสียอีก!! จูกุ้ยหยวนสตรีไม่มีปากมีเสียง เอาแต่ทำงานหนักและไม่ตอบโต้แม้ถูกคนรังแกและเอาเปรียบ นี่มันชีวิตดาวพระศุกร์ชัด ๆ เอาอันใดมาสบายและไร้อุปสรรคกัน เมื่อคืนนอกจากจะเห็นเรื่องราวในโลกก่อนแล้ว นางยังเห็นเรื่องราวของจูกุ้ยหยวนหรือก็คือคนที่ตนกำลังเป็นอีกฝ่ายในยามนี้ทั้งหมด เรียกได้ว่า การตบตีกับงานในโลกก่อนของนาง ยังดูสบายกว่าการสู้ชีวิตของจูกุ้ยหยวน พร้อมกับพี่ชายและมารดาในโลกนี้เสียอีก
ช่างรันทดเหลือเกิน
แต่แม้ว่าจะกลอกตาและถอนหายใจสักกี่รอบทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม บิดาในโลกนี้ก็เพิ่งพาเมียน้อยเข้าห้องไป ไหนจะนังเด็กสิบขวบที่สายตาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยนั่นอีก นางไม่อยากจะรังแกเด็กหรอกนะ เพราะไม่ว่าจะเป็นในโลกก่อนหรือโลกนี้เด็กคนนั้นก็เด็กกว่านาง เห็นว่าอายุสิบสอง ส่วนนางในร่างกุ้ยหยวนคือสิบสี่ อายุห่างกันไม่มาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีสิทธิ์มาทำสายตาเช่นนั้นใส่นางได้ คอยดูเถอะ เดี๋ยวนางต้องจัดการสักวัน
แต่ปัญหาคือ ชีวิตของจูกุ้ยหยวนหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป คงหาความสุขอันใดไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้และในอนาคต
สายตาของหยกหรือจูกุ้ยหยวนในยามนี้แววโรจน์ขึ้น นางจะต้องพามารดาและพี่ชายออกจากบ้านหลังนี้ ไม่สิ ตระกูลนี้ให้ได้ เพราะยามที่ได้รับความทรงจำมา เรียกได้ว่าตระกูลนี้ไม่มีอันใดดีเลยแม้แต่น้อย เห็นทีคงต้องวางแผนให้ดี ๆ เสียแล้ว
“ฮึก ๆ” เสียงสะอื้นเบา ๆ ดังขึ้นมาจากทิศทางที่มีร่างสตรีที่กำลังล้มป่วยนอนอยู่
“ท่านแม่....”
“เพราะเหตุใดกัน... แม่ทำผิดอันใด” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเสียใจเรื่องใด
“ท่านแม่ หากตัดใจได้ ก็เริ่มตัดใจเสียเถิด แล้วข้าจะพาท่านและพี่ใหญ่ออกไปมีชีวิตที่ดีกว่านี้”
“หยวนเออร์” ทั้งมารดาและพี่ใหญ่ต่างก็มองนางด้วยความตกใจ เหตุก็เพราะก็เพราะจูกุ้ยหยวนก่อนหน้านี้ไม่เคยมีปากเสียงทั้งยังไม่เคยกล่าวเช่นนี้ พอนางกล่าวเช่นนี้ทั้งคู่ก็คงจะพากันตกใจทันที
“ข้าพูดจริงนะเจ้าคะ เจ็บปวดได้ แต่อย่านาน เริ่มมูฟออน เพราะชีวิตใหม่จะดีกว่านี้”
“มะ...มู...ออนอันใด...”
นางฉินซื่อคราแรกที่กำลังเสียใจเรื่องสามีพาสตรีมาทำร้ายจิตใจตนถึงบ้าน ก็ต้องเปลี่ยนไปสนใจในตัวบุตรสาวแทน เหตุใดตั้งแต่หยวนเออร์ฟื้นขึ้นมาหลังจากที่สลบไปสองวันดูมีท่าทีที่แปลกไป จูกุ้ยหยางก็คิดเช่นเดียว ด้านจูกุ้ยหยวนระหว่างที่นางกำลังอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเสียงของพี่ชายในโลกนี้ก็ดังขึ้น
“ระหว่างรอเก็บเกี่ยวช่วงนี้เจ้าก็พักผ่อนไปก่อนนะหยวนเออร์ พี่รู้ว่าเจ้าเหนื่อยและร่างกายยังไม่แข็งแรงดี” จูกุ้ยหยางเป็นพี่ชายของนางที่อายุห่างกันเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น แต่ความรับผิดชอบนั้นราวกับคนที่เป็นผู้ใหญ่ ที่สำคัญเขาเป็นคนที่ขยันและจิตใจดีมาก ดีจนมีแต่คนจ้องจะเอาเปรียบ
“ท่านก็เหนื่อยเช่นเดียวกัน พี่ใหญ่ ท่านก็พักเถิด”
“จะพักอันใดไป รีบไปทำอาหารมาให้ท่านน้าสวีกับเหมยเออร์ได้แล้ว” จู่ ๆ บิดาที่เข้าห้องไปแล้วก็ออกมาสั่งการบางอย่างที่ไม่เข้าหูสักนิด นี่จะให้นางกับพี่ใหญ่ทำอาหารให้เมียน้อยกับลูกติดนั่นน่ะหรือ
“หากหิวก็ทำกินเองสิเจ้าคะ”
!!!
“ยะ...หยวนเออร์” ครานี้ไม่ใช่เพียงสองคนที่ตกใจผู้เป็นบิดาอย่าง
จูหมิงยู่ ที่เพิ่งพบกับกิริยาของบุตรสาวที่สงบเสงี่ยมเช่นนี้เป็นครั้งแรกก็ได้แต่อ้าปากค้างไม่น้อย กว่าจะคลำหาเสียงตนเองเจอก็ครู่ใหญ่
“นะ...นั่น เจ้ากล่าวอันใด เหมยเออร์เพียงสิบสองเท่านั้น จะ...จะทำได้อย่างไร”
“ท่านพ่อลืมแล้วหรือเจ้าคะ ว่าข้าทำทุกอย่างเป็นเริ่มตั้งแต่ทำอาหาร ดูแลบ้าน ทำนา ทำไร่ หาของป่า ตั้งแต่อายุเพียงหกหนาวเท่านั้น สิบสองปีแล้วเอาอันใดมาทำไม่เป็นกัน”
“แต่นางเป็นคุณหนูมาก่อน...”
“เป็นคุณหนูแล้วอย่างไร ยามนี้นางไม่ได้เป็น หากทำไม่เป็นก็หัดทำเสีย ข้าไม่ใช่คนรับใช้ของนาง!”
“หยวนเออร์” ครานี้พี่ใหญ่มาดึงชายเสื้อนางไว้ แม้แต่มารดายังพยายามเอื้อมมือมาหานาง นั่นยิ่งทำให้นางหงุดหงิด จะยอมอันใดนักหนา
“ท่านพ่อเดี๋ยวข้าจะรีบไปทำอาหาร หากเสร็จแล้วจะเรียกพวกท่านมากิน หรือว่า...จะให้ยกไปให้พวกท่าน....”
“พี่ใหญ่!!” จูกุ้ยหยวนเอ่ยเรียกพี่ชายเสียงดัง ด้านผู้เป็นบิดาที่เห็นบุตรสาวเปลี่ยนไปทั้งยังดูโมโหร้ายก็รีบบอกบุตรชายให้ยกเอาไปให้จากนั้นก็รีบเดินเข้าห้องของตนไปทันที
“หยวนเออร์ เจ้าเป็นอันใดไป ไม่สบายที่ใดหรือ เหตุใดจึงกล่าวกับท่านพ่อเช่นนั้น”
“แล้วเหตุใดข้าจะกล่าวไม่ได้ ท่านพ่อพาสตรีผู้นั้นมาทำร้ายจิตใจพวกเรา เหตุใดพวกเราจะต้องทำอาหารแล้วไปประเคนให้พวกนางด้วย”
“แต่นั่นเป็นหน้าที่พวกเรา......” จูกุ้ยหยางกล่าวไม่ทันจบก็รีบหลุบสายตาลง เพราะรู้สึกหวั่นเกรงต่อสายตาของผู้เป็นน้องสาว
“หยวนเออร์...” เสียงอ่อนแรงกล่าวขึ้น จูกุ้ยหยวนได้ยินมารดาเรียกก็พรูลมหายใจ เรียกสติของตนให้ใจเย็นขึ้น
“แม่ขอโทษ...” นางฉินซื่อแสดงสีหน้ารู้สึกผิด เหตุก็เพราะได้ยินบุตรสาวกล่าวเรื่องที่อีกฝ่ายต้องทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย ตนรู้สึกสะท้านในอกไม่น้อย เดิมทีครอบครัวตระกูลจูก็ถือว่ามีฐานะ แต่เป็นเพราะบิดาของอีกฝ่ายที่เกียจคร้าน จึงทำให้ต้องเกิดเหตุการณ์แยกบ้านกันและบิดาของจูหมิงยู่หรือท่านปู่ของเด็ก ๆ ก็แบ่งที่นาให้บุตรชายคนเล็กน้อยเหลือเกิน เพราะเห็นว่าได้ไปมากก็คงเปล่าประโยชน์ หากอยากทำจริง ๆ ก็ค่อยไปเช่าที่ดินพวกเขาเอา
ที่จริงแล้วอีกหนึ่งสาเหตุนั่นก็เป็นเพราะตนเป็นสะใภ้ที่เป็นสาวชาวบ้านยากจน ไม่มีทรัพย์สินอันใด ครอบครัวฝั่งสามีจึงไม่ชื่นชอบนางเท่าใดนัก สินเดิมที่ติดตัวมาคือปิ่นไม้ที่มารดามอบให้พร้อมเงินอีกไม่กี่อีแปะ ซึ่งยามนี้ปิ่นไม้นั่นก็อยู่กับแม่สามี ด้วยเป็นเช่นนั้นทำให้พวกนางต้องดิ้นรน เพื่อให้เอาชีวิตรอดให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งบุตรสาวและบุตรชายก็ต้องทำงานหนักตั้งแต่อายุยังน้อย คิดแล้ว นางช่างเป็นมารดาที่ไม่ได้เรื่อง แต่....นางก็รักบุรุษผู้นั้นเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะทำให้นางเสียใจมากก็ตาม
“พวกเจ้าไปทำอาหารเถิด ท่านพ่อจะหิว” เสียงอ่อนแรงพยายามกล่าวบอกบุตรทั้งสอง จูกุ้ยหยวนได้ยินมารดากล่าวเช่นนั้นก็สูดลมหายใจเข้าก่อนจะเดินออกไปทันที
นางมองห้องครัวโดยรอบ เหอะ เดิมทีอาหารก็มีน้อยอยู่แล้ว บิดายังสร้างเรื่องเอาคนมาเพิ่มภาระอีก
“หยวนเออร์ เจ้าไม่ต้องทำก็ได้เดี๋ยวพี่ทำเอง” จูกุ้ยหยางรีบเอ่ยขึ้นเพราะรู้ว่าน้องสาวกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่พอใจ และก็เป็นเช่นนั้นจริง จูกุ้ยหยวนไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ทว่าเมื่อครู่กลับคิดบางอย่างออก จากนั้นสายตาเจ้าเล่ห์จึงปรากฏขึ้น
“พี่ใหญ่ ท่านทำอาหารให้เฉพาะส่วนของพวกเราเถิด ส่วนของท่านพ่อและสตรีผู้นั้นเดี๋ยวข้าจะทำเอง”
จูกุ้ยหยางพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ แม้ว่าในใจรู้สึกแปลก ๆ กับท่าทางของน้องสาวไม่น้อย
.
.
.
.
“นี่มันอาหารของคนกินหรือ!!”
เสียงโวยวายดังขึ้นที่ห้องโถงเมื่อจูหมิงยู่ได้เห็นอาหารที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ