รวมนิยายรักฯ...บทที่ 6 นางฟ้าในอ้อมรักมาร...
การได้เข้าร่วมสกุลมารุคพงศ์เป็นเสมือนความฝันที่ไม่คาดฝันของพิมพ์รัมภา เมื่อได้ฟังความคิดเห็นของคุณมาตย์เมืองก็ทำให้เธอได้รู้ทัศนคติที่ผู้ใหญ่มีต่อเธอ และทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเธอแทบจะปรับตัวปรับใจไม่ทัน
พิมพ์รัมภารู้สึกใจหายอยู่เหมือนกัน ที่นับจากวันนี้ไปเธอจะต้องเปลี่ยนชื่อเป็น นางพิมพ์รัมภา มารุคพงศ์ ตามการจดทะเบียนสมรสกับมาทิศ มารุคพงศ์ แม้เธอจะคิดอยู่ว่าอาจจะเป็นการเปลี่ยนเพียงชั่วคราวเพียงไม่กี่เดือนก็ตาม แต่มันผิดความคาดหมายในชีวิตที่เคยวาดฝันเอาไว้ว่าจะต้องแต่งงานด้วยความรักกับคนที่เธอรักและเขาก็รักเธอเช่นกัน
“นั่นไงบ้านไร่ของเรา”
เสียงจากคุณมาตย์เมืองดึงหญิงสาวออกจากภวังค์ความคิด มองออกไปเห็นไร่เขียวชอุ่มทอดไกลสุดสายตา รถวิ่งผ่านไร่ที่เริ่มจาก อโวคาโด้ สายพันธุ์แฮซ (Hass) ที่คุณมาตย์เมืองบอกว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่กำลังเป็นที่ต้องการของท้องตลาด จึงทำรายได้ดีและจะยิ่งดียิ่งต่อๆไป แล้วก็เป็นไร่มะเดื่อฝรั่งหรือต้นฟิกส์(Fig- Ficus Carica)พืชสุขภาพสายพันธุ์บราวน์ตุรกี (Brown Turkey)ผลสีม่วงสวย เป็นไม้ผลยืนต้นขนาดกลางที่นิยมปลูกกันมานานหลายศตวรรษที่จัดอยู่ในวงศ์ Moraceae เช่นเดียวกับพืชในตระกูลหม่อนหรือมัลเบอร์รี่(Mulberry)ที่ปลูกไว้แปรรูปเป็นน้ำผลไม้สดและหมักเป็นไวน์รสดี
เมื่อเข้าใกล้ตัวบ้านเป็นไร่ผลไม้ที่น่าสนใจมากขึ้น เช่น ทับทิม องุ่น แอปเปิ้ล และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่กำลังให้ผลดกงามจนทำให้พิมพ์รัมภามองตามเพลิน มารู้ตัวอีกทีรถที่นั่งมาก็กำลังคืบคลานผ่านถนนโรยกรวดสีดำที่สองข้างทางดารดาษไปด้วยกระถางดอกไม้ที่ออกดอกสีสันสดใสทางเข้าตัวบ้านที่เป็นตึกใหญ่สีอ่อนสองชั้นบนเนินสูงจึงแปลกใจที่บ้านไร่ไม่ได้ทำจากไม้ซุงต้นใหญ่ๆเหมือนไร่ในฝันอย่างที่เคยเห็นในสารคดีหรือในภาพยนตร์ทั่วๆไป
“เป็นไง...แปลกใจที่บ้านไร่ก่ออิฐหรือลูก” คุณมาตย์เมืองเดาใจคนมอง
“ค่ะ คุณลุง” พิมพ์รัมภาหันมายิ้มหวาน
“ลูกสาว...มาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว หนูจะยังเรียกลุงอยู่อีก เรียกพ่อสิ เรามาถึงบ้านแล้วนะ” คุณมาตย์เมืองพูดล้ออย่างอารมณ์ดี เห็นหญิงสาวยิ้มเขินแก้มแดงระเรื่อก็ยิ่งนึกเอ็นดู
“เอ้อ...ค่ะ คุณพ่อ ทำไมบ้านที่ไร่ไม่ใช้ไม้ซุงสร้างเหมือนที่เขานิยมกันล่ะคะ ฟ้าเคยเห็นอยู่หลายที่”
“ที่บ้านนี้ไม่ได้ใช้ไม้ซุงอย่างบ้านไร่อื่นเพราะพื้นที่บนนี้ เป็นที่ดินซื้อต่อกันมาหลายทอด เป็นที่โล่งเตียนมาก่อน ทางครอบครัวพ่อเลยไม่อยากซื้อไม้มาปลูกให้มีคำครหาว่าไปตัดไม้ทำลายป่าเอามาปลูกบ้าน บ้านใหญ่ๆหลังหนึ่งต้องโค่นต้นไม้ใหญ่เนื้อดีๆหลายสิบหลายร้อยต้น อย่างต้นสักต้นพยุงนี่กว่าจะปลูกคืนป่าได้ก็นับสิบนับร้อยปี พ่อว่ามันไม่คุ้มกัน เลยปลูกมันด้วยอิฐจากดินเผาธรรมชาตินี่ละ”
“ก็ดีค่ะ...น่าเสียดายต้นไม้ใหญ่ๆ” พิมพ์รัมภาเห็นด้วย เพราะเธอก็เป็นนักอนุรักษ์และชอบต้นไม้มีชีวิตมากกว่าจะชื่นชมต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งแล้ว
“ที่ผืนนี้ เป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นปู่รุ่นย่ามีอาณาเขตออกไปจนติดป่าเชิงเขาด้านหลังบ้าน ทางเราได้ร่วมทำโครงการอนุรักษ์ต้นไม้และสัตว์ป่า ด้านข้างก็เป็นที่ผืนเล็กๆของชาวบ้าน พ่อได้ช่วยส่งเสริมด้วยการลงทุนให้ปลูกพืชไร่แล้วเอาผลผลิตมาส่งให้กับโรงงานของเรา และรับลูกหลานพวกเขาเข้ามาทำงานในไร่ในโรงงาน คุณมาตย์เมืองเล่าที่มาของไร่ให้ลูกสะใภ้ฟัง พลางชี้ให้พิมพ์รัมภาดูพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลออกไป
“ทางไร่ของเราก็เข้าร่วมโครงการปลูกต้นไม้คลายโลกร้อนของจังหวัดอยู่นะ เราจะช่วยจัดหาพันธุ์กล้าไม้ต้นใหญ่ๆให้จังหวัดนำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านร่วมกันนำไปปลูกในที่แห้งแล้ง เป็นการให้เปล่าเพื่อเข้าร่วมรักษ์โลกร้อนกับเขาด้วย” คุณมาตย์เมืองสรุปท้ายด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ
“ดีจังเลยค่ะ หนูก็ชอบปลูกต้นไม้ เห็นมันเติบโตแล้วชื่นใจดีค่ะ หนูเคยคิดฝันไว้ว่าถ้ามีทุนสักก้อนก็อยากจะทำสวนกล้วยไม้ ปลูกดอกกล้วยไม้หรือดอกไม้ต่างๆส่งขาย ถ้ามีโอกาสก็อยากเรียนรู้การขยายพันธุ์กับเพาะพันธุ์ไปด้วย เพราะอยากให้กล้วยไม้มีสายพันธุ์ที่ให้กลิ่นหอมเพิ่มมากขึ้นด้วยค่ะ”
หญิงสาวคุยเพลินจนเผลอบอกความคิดฝันของตนเองออกไป ชายกลางคนมองลูกสะใภ้ด้วยประกายตาพราวระยับ เปี่ยมไปด้วยความรักเมตตา และคิดว่าเขาเลือกลูกสะใภ้ไม่ผิดคนจริงๆ จึงบอกกับหญิงสาวอย่างรักเอ็นดู
“จะลองปลูกที่นี่ก็ได้นะ พ่อสนับสนุน เรายังพอมีที่ดินว่างอยู่กว่าร้อยไร่ ยังรออยู่เหมือนกันว่าจะลงต้นไม้อะไร แต่ปลูกดอกกล้วยไม้ก็ดีเหมือนกัน หนูฟ้าอยากทำสวนกล้วยไม้หรือปลูกดอกไม้แบบไหน ก็ลองปรึกษาตาเมธหลานชายของพ่อดู เขาคงให้คำแนะนำได้”
“จะทำได้หรือคะ” หญิงสาวร้องอย่างตื่นเต้นดีใจ แต่ก็ยังเกรงใจ
“ได้สิ หนูไม่ต้องลงทุนอะไรหรอกนะ อยากจะทำอะไรก็คุยกัน ที่ดินตรงนั้นพ่อยกให้หนูจะทำอะไรก็ได้”
“...เอ้อ...แต่หนูคงจะ...”
“อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องอนาคตข้างหน้าเลย คิดเสียว่าหนูมาเป็นลูกสาวของพ่อคนหนึ่ง พ่อชอบความคิดของหนู พ่อจะให้ตาเมธมาคุยรายละเอียดกับหนูอีกที ต้องการอะไรก็บอกเขาไป แล้วพ่อจะหาผู้ช่วยไว้ให้หนูอีกสักคน”
“ขอบพระคุณค่ะ” พิมพ์รัมภายกมือไหว้อย่างสำนึกในความเมตตา
“พ่อชวนคุยเพลิน มาเถอะ ตามาร์สคงรอแย่แล้ว”