บทที่ 7 ปีศาจร้าย
วันต่อมาอาจารย์จากสำนักศึกษาก็มาตามตัวลูกศิษย์ที่ไม่ได้ไปเรียนหลายวันถึงจวน ท่านพ่อของจื่อรั่วอิงเข้าวังตั้งแต่เช้าจึงไม่ได้อยู่ต้อนรับ จื่อรั่วอิงรู้ตัวอยู่แล้วว่าอาจารย์ต้องมาที่นี่ด้วยนางขอให้น้องสาวทั้งสองคนอันเกิดจากอนุรองและอนุสามช่วยเหลือ
น้องสาวของจื่อรั่วอิงเป็นเด็กสาวใบหน้างดงามอันเป็นที่เลื่องลือของคนไปทั่วทั้งเมือง ด้วยพวกนางเป็นเด็กเรียบร้อยบิดาของนางจึงหวงน้องสาวยิ่งนักการเดินทางไปเรียนแต่ละครั้งมีองครักษ์รายล้อมนับสิบคน
ตรงข้ามกับจื่อรั่วอิงที่แม้จะเป็นหญิงงามทว่าชื่อเสียงของนางกลับฉาวโฉ่ก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน จึงทำให้บิดาแม้จะรักเอ็นดูเพียงใดก็ไม่เคี่ยวเข็ญนางเหมือนบุตรสาวคนอื่น
เพราะสินสอดของซื่อจื่อที่ส่งมานั้นเต็มไปด้วยของล้ำค่านับสิบหีบ ทั้งยังมีอาภรณ์แพรพรรณงดงามหายากมากมาย นอกจากนั้นท่านย่ายังได้รับของกำนัลหีบใหญ่จากถังซื่อจื่อจึงทำให้ท่านย่าของจื่อรั่วอิงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
จื่อรั่วอิงเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว เมื่อท่านย่าให้คนมาตามจึงเดินออกมาในชุดของสำนักศึกษา
"ข้าต้องขอโทษอาจารย์จิวที่ทำให้ท่านลำบากต้องมาตามคนถึงที่นี่ เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ได้ส่งคนไปแจ้งที่สำนักศึกษา"
จื่อรั่วอิงเป็นศิษย์คนโปรดของอาจารย์จิว เพราะนางยังพอจดจำกลเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชาติก่อนสมัยที่ทัวร์เล่นกายกรรมรอบโลกได้จึงนำมาถ่ายทอดให้อาจารย์จิวผู้นี้ได้ชม ดังนั้นในสายตาของอาจารย์จิวจื่อรั่วอิงจึงกลายเป็นคนพิเศษของเขา
จื่อรั่วอิงมาถึงแล้วนางทำความเคารพท่านย่าและเคารพอาจารย์ ท่าทางเรียบร้อยผิดปกติ ท่านย่ากระแอมแล้วเอ่ยขึ้น
"ความจริงโทษกักบริเวณของเจ้ายังมีอยู่ แต่อาจารย์จิวเอ่ยว่าเจ้าจะออกเรือนแล้วสมควรมีความรู้ติดตัวให้มาก จะได้ไม่ทำขายหน้าสกุลจื่อ ย่าฟังแล้วก็รู้สึกว่าอาจารย์จิวกล่าวมีเหตุผล แต่ย่าก็ไม่ไว้ใจเจ้าเช่นนั้นจะให้คนคอยตามมากหน่อย อิงเอ๋อร์เจ้าใกล้จะออกเรือนแล้วอย่างไรก็อย่าได้คิดทำเรื่องเหลวไหลเข้าใจหรือไม่"
จื่อรั่วอิงแสร้งสงบเรียบร้อยรับคำท่านย่าพร้อมใบหน้าสำนึกผิด
"อิงเอ๋อร์ทราบเจ้าค่ะ จะไม่ก่อเรื่องเด็ดขาด คำของท่านย่าที่สั่งสอนอิงเอ๋อร์ได้ทบทวนและเข้าใจทุกสิ่งแล้วเจ้าค่ะ"
เมื่อเห็นท่าทางสงบเรียบร้อยดุจผ้าพับไว้ของหลานสาวทำให้ท่านย่ารู้สึกผิดปกติ เดิมทีหากคิดสั่งสอนจื่อรั่วอิง เด็กคนนี้มักจะย้อนคำยังไม่เชื่อฟังเสมอ ทว่าวันนี้กลับเรียบร้อยผิดแผกเหมือนว่าไม่ใช่จื่อรั่วอิงตัวจริง
จู่ ๆ ท่านย่าก็รู้สึกไม่ไว้ใจ คำว่า 'ไม่ก่อเรื่องเด็ดขาด' ของหลานสาว หมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ หรือ คำว่าไม่ก่อเรื่องนี้จะเท่ากับจะก่อเรื่องให้อับอายกันแน่
เมื่อไม่แน่ใจท่านย่าจึงกวักมือเรียกนางแล้วเอ่ยเบา ๆ
"อิงเอ๋อร์ เจ้ามาใกล้ ๆ ย่า"
จื่อรั่วอิงรับคำเดินเข้าไปใกล้ฮูหยินชรา แล้วคุกเข่าลงข้าง ๆ ด้วยอาการสงบนิ่งเชื่อฟัง ฮูหยินชราหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาของอาจารย์จิวแล้วยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงหันมาสบตากับหลานสาวพร้อมกับกระซิบเบา ๆ
"นังปีศาจร้ายคายหลานสาวของข้าออกมาเดี๋ยวนี้ ข้ามียันต์อันศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์อี๋หลิงหากไม่ยอมแสดงตัวเจ้าได้ตายแน่"
จื่อรั่วอิงได้ยินดังนั้นก็งงงันไปชั่วครู่ ดวงตาคู่งามเบิกกว้างแทบถลนออกจากเบ้า กระทั่งสมองประมวลภาพความคิดของท่านย่า จื่อรั่วอิงจึงกลั้นขำเอาไว้แล้วทำดวงตาบ้องแบ๊ว
"ท่านย่านี่อิงเอ๋อร์ไง อิงเอ๋อร์เองเจ้าค่ะ มิใช่ปีศาจ ดวงตาของท่านย่ามีปัญหาแล้ว หรือจะเป็นต้อกระจกไปลอกตาดีหรือไม่"
ฮูหยินชราชะงักไปชั่วครู่มองใบหน้างามของหลานสาวโดยละเอียดแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
"เอาล่ะ คำพูดประหลาดนี้มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น คงไม่ใช่ตัวปลอมเป็นแน่"
"เจ้าค่ะ จื่อรั่วอิงตัวจริงมิใช่ตัวปลอมแน่นอน"
มือเหี่ยวย่นของผู้ชรายื่นมาหาจื่อรั่วอิงทันใด ด้วยความเคยชินที่ถูกท่านย่าตีมาตั้งแต่เด็ก จื่อรั่วอิงคิดว่าตัวเองจะถูกท่านย่าบิดเนื้ออีกแล้วจึงเบี่ยงตัวหนีทว่ามือนั้นกลับจับที่มือของนางแล้วบีบเบา ๆ
"อิงเอ๋อร์ เจ้าคงคิดได้แล้วสินะ มิเสียแรงที่ย่าสั่งสอนเจ้าเป็นอย่างดี เช่นนั้นก็ไปเรียนเถิดเป็นเด็กดีอย่าดื้อ อย่าทำให้อาจารย์จิวลำบากใจ เข้าใจหรือไม่"
จื่อรั่วอิงกลอกตา มองมือเหี่ยวของท่านย่าที่บีบกระชับมือของนางอย่างอบอุ่นคล้ายไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นว่านิ้วของท่านย่านั้นเต็มไปด้วยแหวนล้ำค่าทั้งสิบนิ้วยังใส่นิ้วละสองวงยิ่งกว่าจะไปงานออกห้างประกวดเครื่องประดับ
จื่อรั่วอิงจึงเข้าใจสาเหตุของอารมณ์ประหลาดของท่านย่าแล้วของพวกนี้คงเป็นของกำนัลที่ว่าที่คู่หมั้นของนางมอบให้ท่านย่าเป็นแน่
จื่อรั่วอิงกลั้นขำพร้อมกลับเอ่ยว่า
"ท่านย่า หรือว่าเป็นท่านที่ถูกปีศาจเข้าสิงจึงได้ดีกับข้าเช่นนี้ ข้าไม่มียันต์ของปรมาจารย์อี๋หลิงไล่ปีศาจนะ เช่นนั้นท่านก็ใช้ยันต์นั่นขับไล่ตัวเองเถิด"
พูดจบเสียงร้องของนางก็ดังขึ้นทันใด
"โอ๊ย ท่านย่า อย่าบิดข้า อิงเอ๋อร์ยอมแล้ว อิงเอ๋อร์ยอมแล้วเจ้าค่ะ"
จื่อรั่วอิงกระโดดออกจากตรงนั้นทันใดพร้อมกับวิ่งออกออกไปที่ประตู ปากร้องเสียงดัง
"ท่านอาจารย์ไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากเรียนหนังสือแล้ว"
อาจารย์จิวย่อมรู้นิสัยของลูกศิษย์ผู้นี้ดี เขาลุกขึ้นอย่างสง่างามทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าจัดระเบียบเสื้อผ้าสีขาวสะอาดพร้อมทั้งหมวกแสดงฐานะอาจารย์แห่งสำนักศึกษาจนเรียบร้อยหลังจากนั้นจึงหันหลังเดินออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้จะวางท่าทางเช่นใด ด้วยบัดนี้ได้เสียกิริยาต่อหน้าอาจารย์จิวผู้เลื่องชื่อ
อยากจะบอกอาจารย์จิวเหลือเกินว่าเรื่องเมื่อสักครู่ในจวนที่นางถูกหลานสาวต่อปากต่อคำก็อย่าพูดออกไปให้อายคน
ทว่าก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร จึงได้แต่ปล่อยอาจารย์จิวไป ด้วยกลัวว่าอารมณ์ที่ดีของตนจะหดหายจึงคิดหาสิ่งบันเทิงใจมาชื่นชมเสียหน่อย
"พาข้าไปที่สวน ส่งคนไปตามคณะงิ้วมาด้วย"
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเบา ทว่าสาวใช้กลับนิ่งเงียบด้วยบัดนี้ดวงตาเหม่อลอยเอาแต่จับจ้องไปที่แผ่นหลังอาจารย์จิวผู้สง่างามและทรงภูมิความรู้ผู้นั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากระแอมเสียงดังสาวใช้ทั้งสองจึงได้สติเรียบพยุงฮูหยินผู้เฒ่าไปตามคำสั่งทันใด
จวนลี่หมิงอ๋อง
หลายวันมานี้ลี่หมิงอ๋องเกิดอาการนอนไม่หลับเพราะมักจะฝันเห็นบางสิ่งบางอย่าง และเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีของเหนียวหนืดไหลออกมาจากจมูกกระทั่งจับดูจึงได้รู้ว่าที่แท้เป็นเลือดกำเดานั่นเอง
นี่เขากำเดาไหลได้อย่างไร หลังจากทบทวนความฝันก็พบว่าในฝันนั้นตนเองกำลังจับบางสิ่งบางอย่างอยู่ และอารมณ์ในยามนั้นก็ยากเกินจะบรรยายนัก
ในความฝันทุกอย่างช่างชัดเจนเหมือนว่าเขาไม่ได้ตาบอด มือของเขาในยามนี้กำลังสัมผัส ก้อนนุ่มยวบในมือสองก้อน กลิ่นหอมหวานของกายสาวที่ติดจมูกกระทั่งรู้สึกหงุดหงิดหัวใจ
ในยามดึกที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาก็พบว่าส่วนเนื้อตรงกลางร่างกายที่ไม่มีปฏิกิริยามานานบัดนี้กลับแข็งเป็นท่อนลำทั้งยังทำให้เขารู้สึกทรมานจนต้องลุกขึ้นมาฝึกกระบี่ออกกำลังกายกลางดึก
ตั้งแต่ได้สัมผัสสตรีผู้นั้นก็ทำให้เขาฝันเช่นนี้ทุกคืน ใบหน้าของลี่หมิงอ๋องหมองคล้ำสีหน้าที่แต่เดิมเย็นชาอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งเย็นเยียบยิ่งกว่าหิมะที่ทับถมมานับพันปี เขานั่งตัวตรงในขณะที่ท่านหมอผู้หนึ่งกำลังทำการรักษา
"ท่านอ๋องอีกไม่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
ลี่หมิงอ๋องกำมือแน่น
"ข้ายังไม่รู้สึกเลยสักนิด แช่น้ำพุศักดิ์สิทธิ์มาเกือบสองปีรู้สึกร่างกายแข็งแรงยิ่งกว่าช้างสารทว่ากลับไม่มีทีท่าว่าจะมองเห็นได้ชัดเจน คำของท่านจะเป็นจริงหรือ"
หมอเทวดาเสิ่นจิ้งเอ่ยด้วยความมั่นใจ
"ท่านอ๋องโปรดพระทัยเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรับรองว่าหนึ่งเดือนให้หลังอาการตาบอดของท่านจะค่อย ๆ ดีขึ้น"
ลี่หมิงอ๋องยกมุมปากเล็กน้อย
"ขอบคุณท่านหมอ"
องครักษ์ซีห่าวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งหลายปีมานี้ลี่หมิงอ๋องทรมานราวกับตกนรกทั้งเป็น ทว่าบัดนี้ดูเหมือนว่าอาการของท่านอ๋องใกล้จะหายเป็นปกติแล้ว กระทั่งยามเช้าที่บ่าวเข้ามาปรนนิบัติก็มารายงานว่าแท่งหยกของท่านอ๋องมีอาการแข็งตัว ทำให้ซีห่าวรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าผู้ใด
เป็นเพราะผลจากยาพิษจึงทำให้ส่วนนั้นของลี่หมิงอ๋องใช้การไม่ได้ เดิมทีท่านอ๋องก็แทบไม่ได้แตะต้องสตรีใด ยังต้องพิษตกอยู่ในอาการนี้ข่าวลือหลุดออกจากจวนทำให้คนรู้กันทั่วทำให้ไม่มีแม่สื่อคนใดเหยียบเข้าประตูจวน
ซีห่าวรีบค้นหาตัวบ่าวผู้นั้นและสังหารทิ้งท่ามกลางสายตาของบ่าวทุกคนในจวน ตั้งแต่นั้นมาเรื่องในจวนอ๋องก็ไม่มีผู้ใดกล้าปากสว่างอีก ทว่าข่าวลือเร็วยิ่งกว่าลมพัด เพียงบ่าวผู้นั้นคนเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้คนทั้งแคว้นหนิงเทียนกระทั่งลูกเล็กเด็กแดงยังรู้เรื่องนี้
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหวานใสของสตรีนางหนึ่ง
"พี่ใหญ่เจ้าคะ ลู่เอ๋อร์นำน้ำแกงตุ๋นโสมมาให้เจ้าค่ะ"
ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับสตรีงดงามรูปร่างอรชรผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามา กระโปรงของนางถูกตัดเย็บเป็นชั้น ๆ เป็นสีขาวปนม่วงกลีบบัวยามเยื้องกรายดูงดงามพลิ้วไหว
ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างงดงามเย้ายวนตา ทว่าความพยายามของนางเพื่อคนผู้นั้นเขาย่อมไม่มองเห็น ถึงจะเป็นเช่นนั้นเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเขานางก็ยังคงความพยายามเอาไว้
การสนทนาหยุดลงทันใด บ่าวข้างกายของลี่หมิงเข้ามารับตะกร้าจากมือของเจียวลู่ไปให้ท่านหมอตรวจสอบ
"เสวยได้พ่ะย่ะค่ะ"
เจียวลู่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า
"พี่ห่าวยังมีของท่านอีกชามนะเจ้าคะ"
องครักษ์ซีห่าวยิ้มเล็กน้อยผงกศีรษะเป็นการขอบคุณ
"ขอบคุณน้องลู่"
เพราะซีห่าวเองก็เห็นเจียวลู่เป็นน้องสาวเช่นกันกับลี่หมิง หญิงสาวสะคราญนางนี้เป็นญาติห่าง ๆ ของลี่ไท่เฟยมารดาของลี่หมิง ผู้ใดก็รู้ว่านางชื่นชมญาติผู้พี่อย่างลี่หมิงเพียงใด ด้วยความดื้อรั้นของเด็กสาวแม้ว่าลี่หมิงจะตาบอดแต่นางก็ยังคงยินดีรอเขา นางเชื่อมั่นในฝีมือของหมอเทวดาเสิ่นเจิ้นที่อย่างไรก็ต้องรักษาลี่หมิงจนหายเป็นปกติ
หมอเทวดาเสิ่นเจิ้นจัดการปิดตาให้ลี่หมิงอ๋องจนเรียบร้อย ลี่หมิงอ๋องลุกขึ้นโดยมีเจียวลู่ช่วยประคอง ทว่าเขากลับปัดมือของนางออก
"ข้าจัดการตัวเองได้ ไม่ต้องทำเหมือนข้าเป็นคนพิการ"
เจียวลู่หน้าเสียทันใด นางเม้มปากแล้วค่อย ๆ ขยับออกห่างเขา แต่กระนั้นก็ยังคงทำน้ำเสียงร่าเริง
"พี่ใหญ่ ท่านดื่มน้ำแกงบำรุงเลยดีหรือไม่ หากปล่อยให้เย็นจะไม่อร่อย"
ลี่หมิงอ๋องคิดจะเอ่ยว่าตนเองไม่หิว ทว่าซีห่าวกลับพูดตัดบทด้วยไม่อยากให้ท่านอ๋องทำให้เจียวลู่เสียใจ
"ท่านอ๋องกำลังร้อน ๆ เราดื่มกันดีกว่า"
กล่าวจบเขาก็ลากมือของลี่หมิงอ๋องไปนั่งบนเก้าอี้ เจียวลู่จึงสั่งให้บ่าวนำน้ำแกงมาให้นางแล้วจัดใส่ชามให้ท่านอ๋องและซีห่าวคนละชาม
"รสชาติเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"
"อืม"
ซีห่าวเช็ดปากตนเองแล้วรีบตอบ
"รสชาติดียิ่ง ขอบคุณน้องลู่"
เจียวลู่ส่งยิ้มงดงาม ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากสนทนา ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งก็กระหืดกระหอบมารายงาน
"ทูลท่านอ๋องบัดนี้มีสตรีนางหนึ่งมาโวยวาย บอกถูกท่านอ๋องกระทำการต่ำช้าล่วงเกินแล้วไม่คิดรับผิดชอบที่หน้าจวนขอรับ"