บทที่ 2 ปฎิเสธการช่วยชีวิต
ตี๊ดดดด ตี๊ดดดดดด
เสียงสัญญาณชีพดังขึ้น เส้นกราฟของหัวใจบนหน้าจอก็วิ่งเป็นเส้นตรง หยางเฉิงอี้พูดได้แค่นั้น และเขาก็หลับตาลง
"ไม่นะ เฉิงอี้ หมอ หมอ " เขาตะโกนเรียกหมอ " ช่วยน้องผมที" เขาบอกทั้งน้ำตา
"ต้องขอโทษด้วยนะครับ คนไข้ได้ปฏิเสธการช่วยชีวิตแล้วครับ" หมอบอก
"อะไรนะ? "เขาตกใจ
"หลังจากที่ช่วยปั๊มหัวใจกลับคืนมาได้เมื่อครู่ คุณหยางเฉิงอี้ได้แจ้งกับทีมหมอว่าจะขอไม่ให้ปั๊มหัวใจอีกแล้วครับ" หมอบอกอย่างลำบากใจ
"แล้วเขาบอกตอนไหน"
"ก่อนที่คุณจะมาถึงที่นี่ครับ ผมต้องเสียใจด้วย ทางเราเคารพการตัดสินใจของคนป่วย อีกอย่างร่างกายของคุณหยางเฉิงอี้ก็รับการกระตุ้นหัวใจไม่ได้อีกแล้วครับ" หมอบอก
หยางเฉิงซวนทำอะไรไม่ได้ จำต้องปล่อยให้น้องชายจากไปอย่างสงบ แม้ว่าเขาจะมีเงินหรือร่ำรวยมากแค่ไหน แต่มันไม่สามารถช่วยชีวิตน้องชายที่เขารักมากได้เลย
หยางเฉิงอี้จากไปอย่างสงบ ด้วยอายุเพียง 28 ปี เขาจะยังคงอยู่ในใจพี่ชายของเขาเสมอ
ไป๋ลู่ชิงหาบ้านเช่าหลังเล็กได้ เป็นบ้านชั้นเดียวมีสองห้องนอน เธอให้หลินเจินป้าแม่บ้านหนึ่งห้อง ส่วนอีกห้องหนึ่งนั้นเธอจะอยู่ร่วมกับสามีของเธอ เธอต้องใช้เตียงเสริมภายในห้องนั้น
"คุณหนูจะออกไปทำงานแล้วเหรอคะ" หลินเจินถาม
"ใช่ค่ะ" เธอตอบด้วยสีหน้ากังวล "ฝากดูแลเฉิงเยว่ด้วยนะคะ"
"คุณหนู" หลินเจินค่อนข้างเป็นห่วงและลำบากใจ
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พวกเขาไล่ฉันออกจากบริษัทไม่ได้หรอก" เธอพูดอย่างมั่นใจ
แม้ในใจจะคิดกังวลว่าแม่เลี้ยงของเธอต้องหาเรื่องเล่นงานเธอที่บริษัทเป็นแน่ แต่ถึงยังไงเธอก็ยังเป็นผู้รักษาการประธานของบริษัทอยู่ แต่หากคณะกรรมการรวมตัวกันเพื่อปลดเธอล่ะ? ก็คงต้องรอถึงตอนนั้นก่อนแล้วกัน เพราะตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นไหม
"งั้นก็ระวังด้วยนะคะ" หลินเจินบอกอย่างเป็นห่วง
"ค่ะ" เธอพยักหน้า "ไปนะคะ มีอะไรก็โทรไปหาฉันได้เลย"
เฉิงเยว่เป็นเพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่งเท่านั้น เขาถูกครอบครัวบุญธรรมรับเลี้ยง เขามีความสามารถในด้านการบริหารงาน ก่อนแม่บุญธรรมของเขาจะเสีย ท่านได้มอบทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้เขา มีที่ดินหนึ่งแปลงขนาด 50 ไร่ และหุ้นของบริษัทไป๋อ้ายซืออีก 10%
บริษัทไป๋อ้ายซือเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะเฉิงเยว่ตามจีบลู่ชิง แม่เลี้ยงและพ่อของเธอก็เลยอยากให้เธอแต่งงานกับเขา โดยสินสอดทั้งหมดนั้นก็คือหุ้น 10% ที่เขาถืออยู่ มันมีมูลค่าหลายร้อยล้าน แต่เฉิงเยว่ก็ตกลงยกให้ แต่ต้องแบ่งให้เป็นชื่อของลู่ชิน 3% ด้วย
ไป๋ลู่ชิงต้องยอมทำตามที่พ่อของเธอขอ เพราะหากได้หุ้นของเฉิงเยว่เพิ่มมาอีก 10% ตำแหน่งผู้บริหารของเขาจะไม่มีใครกล้าทำอะไรอีก
"คุณหยางคะ ตอนนี้คณะกรรมการรวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมแล้วค่ะ" อันอัน เลขาบอก
ไป๋ลู่ชิงถอนหายใจ "ขอบคุณ" ในที่สุดก็มาถึงวันนี้สินะ
ไป๋ลู่ชิงเดินไปที่ห้องประชุม โดยมีอันอันเลขาเดินตาม เธอเปิดประตูเข้าไป และเห็นเฟยเถาแม่เลี้ยงของเธอและเฟยหลิงน้องสาวของเธอนั่งคุยอยู่กับกลุ่มคณะกรรมการ
"พวกคุณมาทำอะไร? " เธอถาม และจ้องมองไปที่สองแม่ลูก และกลุ่มคณะกรรมการ
"ฉันจะมาเป็นประธานบริษัทแทนเธอไง" เฟยหลิงบอก ท่าทางเยาะยิ้ม
เธอแสยะยิ้มมุมปาก ยกมือขึ้นมากอดอก "เธอคิดว่าจะทำได้เหรอ"
"คณะกรรมการลงความเห็นกันหมดแล้ว" เฟยเถาบอก "เธอถูกปลดแล้ว" นางพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"ปลดฉันด้วยเหตุผลอะไร? " เธอหันไปมองคณะกรรมการ "ฉันต้องการเหตุผลที่ดีด้วยนะ"
"คุณยักยอกเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว"คณะกรรมการคนหนึ่งพูด
เธอตกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าพวกเขาจะใส่ร้ายเธอเรื่องนี้ "พวกคุณมีหลักฐานอะไร" เธอถาม
"แน่นอนว่าพวกเรามี" คณะกรรมคนหนึ่งส่งเอกสารให้กับเธอ
เธอรับเอกสารนั้นมาดู ยอดเงินถูกสั่งจ่ายด้วยชื่อของเธอจริง ๆ แต่เธอไม่รู้เรื่องกับเงินเหล่านี้ "ฉันขอเวลาหนึ่งเดือนเพื่อให้คำตอบพวกคุณ" เธอเสนอ เพราะต้องหาคนบงการทำเรื่องนี้ แม้จะรู้ว่าเป็นใคร แต่ก็ต้องมีหลักฐาน
"หากภายในหนึ่งเดือน คุณไม่สามารถหาความจริงมาได้ พวกเราคงต้องปลดคุณลงจากตำแหน่งรักษาการจริง ๆ และจะดำเนินการตามกฎหมาย"
"ได้" เธอตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เฟยเถาและเฟยหลิงยิ้มอย่างมีความสุข รอแค่อีกหนึ่งเดือน บริษัทก็จะตกเป็นของพวกเธออย่างสมบูรณ์