บท
ตั้งค่า

ตัดเย็บชุดเจ้าสาวให้ผู้อื่น ข้าเต็มใจเสียยิ่งกว่าเต็มใจ 1

พอถึงช่วงบ่าย หานฉงหรงก็กลับมาถึงบ้านสกุลหานโดยสวัสดิภาพ จากนั้นจึงเดินไปต้มน้ำชงชาและเตรียมขนมด้วยตนเอง เพราะรู้ดีว่าหลินหลางในตอนนี้คงไม่อาจกลับมาถึงได้ในระยะเวลาสั้นๆ นี้

ชาอู่อี๋เหยียน (ชาหินผา) ที่ถูกความร้อนค่อยๆ คลายตัวออกในถ้วยเปลี่ยนน้ำให้เป็นสีแดงดั่งทับทิม กลิ่นหอมคล้ายดอกกุ้ยซึ่งเป็นกลิ่นประเฉพาะตัวของชาชนิดนี้ลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง หลังจากนั้นก็แกะห่อกระดาษที่มีขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ ขนมเกลียว และขนมอื่นๆ ที่นางแวะซื้อระหว่างทางกลับมาแกะกินอย่างมีความสุข

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้นับว่าเป็นความสำเร็จก้าวแรกในการเขี่ยฉางซื่อหลางออกไปจากชีวิต ทว่าเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ นางต้องการอะไรบางอย่างที่จะเป็นจุดแตกหักในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางให้ได้อย่างหมดจดพ้นเรื่องพ้นราวไป ซึ่งแน่นอนว่านางค้นพบแล้ว ถึงได้มานั่งกินขนมดื่มชาอย่างสบายใจเช่นนี้

ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ฉางซื่อหลางก็มาถึงที่บ้านของนางพร้อมกับหลินหลางที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าก็ฉีกขาดบางส่วน จนฉงหรงต้องไม่พยายามออกปากถามว่าสตรีข้างๆ นางนั้นไปตบตีกับคนด้วยกันหรือว่าโดนฝูงสุนัขจรจัดรุมทึ้งมากันแน่ นางพยายามวางท่าทีสงบสำรวมเอ่ยถาม “ซื่อหลาง หลินหลางเป็นอย่างไรบ้าง”

ฉางซื่อหลางมีใบหน้าประหนึ่งสะดึงไหมที่ถูกขึงจนตึง ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงก่อนตอบ “ข้าระงับเหตุแล้ว หลินหลางเองก็ยอมรับว่าตนเองมองผิดเองว่าปิ่นที่แม่นางฝูหรงประดับอยู่มีส่วนคล้ายกับเจ้า ส่วนแม่นางฝูหรงก็มิได้ติดใจเอาความเพราะถือว่าหลินหลางปกป้องศักดิ์ศรีเจ้านาย เรื่องถึงจบลงได้ด้วยดี”

หานฉงหรงยกมือกดริมฝีปากคล้ายสะเทือนใจอย่างยิ่ง ทว่าในใจกลับลอบยิ้มขบขัน หลินหลางน่ะหรือปกป้องเจ้านาย? สตรีนามฝูหรงน่ะหรือมิได้ติดใจเอาความ? ที่นางเห็นทั้งหมดดูอย่างไรก็เหมือนภรรยาหลวงตบตีชู้กลางตลาดก็ไม่ปาน คิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าคงใช้คารมหวานหว่านล้อมจนทั้งสองยอมล่าถอยน่ะสิไม่ว่า

ถึงจะคิดเช่นนั้น หานฉงหรงก็ยินยอมสวมบทว่าที่ภรรยาใจกว้าง เอ่ยอย่างไม่ถือสา “เอาเถิด เรื่องจบลงด้วยดีก็ดีแล้ว หลินหลาง เจ้ากลับไปพักที่ห้องก่อน ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปซื้อยามาให้”

หลินหลางน้ำตารื้น พยักหน้าตอบรับ ก่อนเดินออกไปจากโถงรับแขกเงียบๆ คืนความเป็นส่วนตัวให้กับคู่รักอย่างหานฉงหรงและฉางซื่อหลาง

เมื่อเห็นว่าปลอดบุคคลที่สาม มือปราบหนุ่มรีบนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ฉงหรง ยกการินน้ำชาใส่ถ้วยที่ว่างเปล่าของนางส่งให้ “หรงเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด จะหายโกรธข้าได้หรือยัง”

หานฉงหรงเพียงยิ้มบางพลางหันไปรินชาใส่ถ้วยอีกใบแล้วยกขึ้นจิบช้าๆ โดยไม่สนใจถ้วยชาร้อนกรุ่นที่อีกฝ่ายรินให้นางอย่างเอาอกเอาใจ ก่อนเอ่ย "ข้าไม่ได้โกรธเจ้า”

ฉางซื่อหลางเห็นท่าทีเช่นนั้นของนางก็ให้นึกไปว่าหญิงสาวกำลังทำท่าทางปั้นปึ่งแง่งอนใส่ เขาลอบส่ายหน้าอย่างนึกเอ็นดู “แม้แต่เด็กสามขวบยังรู้ว่าหรงเอ๋อร์ของข้าช่างเจ้าแง่แสนงอนปานนี้”

หานฉงหรงได้ยินเช่นนั้นจึงหันกลับมามองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าทั้งยังตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ซื่อหลาง เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ได้โกรธ ไม่ได้ปั้นปึ่งแง่งอน และไม่ได้ผิดหวังในตัวเจ้า”

คำพูดนี้ทำให้ฉางซื่อหลางไม่กล้าเอ่ยล้อเล่นกับนางอีก ใบหน้าของนางไม่ปรากฏร่องรอยโกรธขึ้ง หึงหวงเหมือนกับหานฉงหรงที่เขาเคยรู้จัก แม้กระทั่งคำพูดคำจาที่ใช้พูดกับเขาก็ยังดูห่างเหิน เหมือนคุยกับคนอื่นคนไกลที่ไม่เคยรักใคร่ผูกพันกันมาก่อน

ไม่ได้! จะให้สิ่งที่เขาลงทุนลงแรงปูทางเพื่อความก้าวหน้าในการงานมาพังพินาศเพราะความเจ้าชู้มากรักของเขามิได้!

การที่ได้แต่งงานกับธิดาของบัณฑิตที่สอบได้ถึงระดับจิ้นซื่อ [1] ทั้งผู้คนยังขนานนามว่าเป็น หานปั๋วซื่อ [2] ย่อมสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เจ้านายของตนและบรรดาชาวบ้านร้านตลาด และเขายังเชื่ออีกว่าพ่อตาของเขาและหานฉงหรงคงไม่ยอมให้เขาจมปลักกับการเป็นมือปราบเล็กๆ ในเมืองไปจนชั่วชีวิต ต้องหาทางผลักดันให้เขาเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคตเป็นแน่

สิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าแม่ไก่ออกไข่เป็นทองคำเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือเป็นอันขาด

“ได้ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้โกรธ ไว้ให้เจ้าใจเย็นลงอีกสักนิดข้าจะมาหาเจ้าอีก” ฉางซื่อหลางพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่เมื่อเห็นหานฉงหรงไม่ตอบรับอะไร เขาจึงจำต้องล่าถอยกลับไป

หานฉงหรงไม่แม้แต่จะเหลือบแลแผ่นหลังของชายหนุ่มด้วยซ้ำ นางรีบดึงปิ่นอวิ๋นเหยาที่ปักอยู่ที่มวยผมของนางจนถึงตอนนี้ แล้วมองมันอย่างนึกพิจารณา ว่าจะทำอย่างไรกับปิ่นนี้ต่อไปดี จะเอาไปจิ้มผลอิงเถาใส่ปากเล่นก็กลัวจะกลายเป็นเอาของสกปรกเข้าปากจนเสาะท้อง จะนำไปให้คนอื่นหรือก็กลัวว่าของอัปมงคลเช่นนี้จะทำให้ชีวิตผู้อื่นต้องวิบัติล่มจม กลายเป็นบาปติดตัวเสียเปล่าๆ

แต่ผ่านไปครู่หนึ่งก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้ ก่อนลุกออกจากโถงรับแขกไปยังห้องส่วนตัวของหลินหลางในทันที

[1] หนึ่งในเก้าผู้ที่ผ่านการสอบในเขตพระราชฐานซึ่งฮ่องเต้เป็นผู้กำหนดหัวข้อการสอบด้วยพระองค์เอง

[2] ปั๋วซื่อ -คำเรียกบัณฑิตในสมัยโบราณและใช้ยกย่องผู้ที่มากความรู้และมีหน้าที่สอนหนังสือ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel