บทที่7 บันทึกในอดีต
พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้วเฉียวลู่และเด็กๆ ก็กลับเข้าไปในกระท่อมน้อยของตนอีกครั้ง เตียงเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ปูด้วยฟูกเก่าๆ พอให้สามคนได้อาศัยนอน อากาศตอนกลางวันแม้จะเย็นสบายแต่เพราะหมู่บ้านอยู่ในหุบเขาทำให้ตอนกลางคืนนั้นหนาวมาก
เฉียวลู่ตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกหนาว นางดึงเด็กทั้งสองคนเข้ามาในอ้อมแขนเพื่อให้ไออุ่นแก่พวกเขา เฉียวลู่สัมผัสได้ถึงร่างเล็กที่เย็นเฉียบในอ้อมแขน นางได้แต่นึกสงสารพวกเขาจับใจถ้าอยู่ในยุคปัจจุบันนางจะไม่มีวันปล่อยให้เด็กสองคนนี้ต้องลำบากเช่นนี้แน่
เฉียวลู่นอนไม่หลับเพราะคิดถึงเรื่องมากมายที่ตนจะต้องทำในวันพรุ่งนี้ แต่แล้วนางก็รู้สึกได้ถึงแสงสว่างบางอย่างที่วาบขึ้นมาในห้อง เฉียวลู่มองไปที่มุมห้องที่มีกล่องไม้เก่าๆ ไม่ใหญ่มากวางอยู่ ถึงแม้กล่องไม้ใบนั้นจะยังปิดเอาไว้แต่แสงสว่างก็ยังสามารถลอดผ่านออกมาด้านนอกได้
เฉียวลู่มองกล่องใบนั้นอย่างระมัดระวัง จะมีอะไรที่น่าระทึกขวัญมากไปกว่าการที่ต้องตื่นมาแล้วมาอยู่ในยุคโบราณอีก เฉียวลู่ตัดสินใจลุกขึ้นไปเปิดกล่องใบนั้นดู เมื่อนางเปิดกล่องไม้เก่าใบนั้นออกด้านในกล่องใบนั้นที่มีแสงสว่างลอดออกมาคือหนังสือเก่าหนึ่งเล่มปกสีฟ้าที่เฉียวลู่รู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างมาก
เมื่อเปิดหนังสือเล่มนั้นออกดู มีตัวอักษรเฉียวลู่เขียนเอาไว้ นางแน่ใจแล้วว่าตนเองคิดไม่ผิดมันคือหนังสือเล่มนั้นนั่นเองที่นางซื้อมาจากคุณยายที่ตลาดขายของเก่า แสงสว่างยังคงกระจายออกมาจากหนังสือเล่มนั้น เฉียวลู่เปิดกระดาษหน้าถัดไปมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้ด้วยลายมือที่สวยงามคล้ายกับว่าเป็นบันทึกของใครคนหนึ่งหรือบางที นี่อาจเป็นบันทึกของผู้หญิงคนนี้ก็เป็นได้
เฉียวลู่ถือหนังสือเล่มนั้นเดินออกมาจากห้องนอนเพราะกลัวว่าเด็กๆ จะตื่นขึ้นมาเห็นแล้วตกใจ ก่อนออกจากห้องนางได้เดินไปห่มผ้าให้เด็กทั้งสองคนอีกครั้งอย่างเบามือ เมื่อเฉียวลู่นั่งลงที่ห้องครัวก็ได้เริ่มอ่านบันทึกเล่มนั้นทันที
ผ่านไปนานเท่าใดไม่สามารถรู้ได้แต่นางยังคงอึ้งกับเรื่องที่ตนได้รับรู้ผ่านทางบันทึกในหนังสือเล่มนั้น เฉียวลู่สามารถสรุปเรื่องราวในบันทึกได้ว่า
เฉียวลู่บุตรสาวเพียงคนเดียวของเฉียวซาน บัณฑิตซิ่วไฉแห่งเมืองโยวโจวที่ตั้งอยู่ชายแดนแคว้นเซียว มารดาของเฉียวลู่ตายจากไปเพราะคลอดยากตั้งแต่ที่เฉียวลู่อายุเพียวสามขวบ จากนั้นสองพ่อลูกก็ใช้ชีวิตกันสองคนตลอดมา เฉียวซิ่วไฉรักบุตรสาวของเขามากถึงแม้จะยากจนแต่เขาก็ไม่เคยให้บุตรสาวต้องทำงานลำบากอะไรเลย
สิ่งที่เฉียวลู่ทำได้มีเพียงร่ำเรียนเขียนอ่านอยู่ที่เรือนเท่านั้น เฉียวซานใช้ชีวิตโดยการสอนหนังสือในสำนักศึกษาเล็กๆ ต่อมาสองพ่อลูกได้ช่วยเหลือชายร่างใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสผู้หนึ่งเอาไว้ แต่แล้วเมื่อเขาฟื้นขึ้นมากลับไม่สามารถจำเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ แม้กระทั่งชื่อของตนเองหรือเขาเป็นใครมาจากไหนเขาก็จำไม่ได้เลย
บุรุษผู้นั้นหลังจากที่รักษาอาการบาดเจ็บของตนเองจนหายดีแต่กลับไม่รู้ว่าตนเองจะต้องไปที่ไหน อีกอย่างเพราะเรื่องที่เขาบาดเจ็บอาจเป็นเพราะกำลังถูกคนอื่นปองร้ายอยู่ ถ้าหากออกไปเดินข้างนอกโดยที่ไร้ความทรงจำเช่นนี้อาจถูกทำร้ายอีกครั้งก็ได้
เฉียวซานจึงอนุญาตให้เขาได้อาศัยอยู่ที่นั่นต่อและได้ตั้งชื่อให้บุรุษผู้นั้นว่าเยี่ยน เพียงคำเดียวแต่เฉียวลู่เป็นคนเติมคำว่าหมิงที่แปลว่าสดใสด้านหน้าชื่อเยี่ยนของเขาเพราะเขาดูพูดน้อยเย็นชาและทึมทื่อทำให้นางนึกอยากกลั่นแกล้งขึ้นมา เฉียวลู่นึกไม่ถึงว่าชื่อที่นางตั้งขึ้นมาล้อเลียนเขาจะกลายเป็นชื่อจริงๆ ของตัวเขาเอง
ทั้งสามคนอาศัยอยู่ด้วยกันจนกระทั่งผ่านไปหนึ่งปีหมิงเยี่ยนก็ยังไม่สามารถฟื้นความทรงจำที่หายไปของตนเองกลับมาได้ และตอนนั้นเฉียวลู่ก็อายุสิบเจ็ดปีแล้วเฉียวซานเห็นว่าหมิงเยี่ยนถึงแม้จะเป็นคนพูดน้อยแต่ก็เอาการเอางานไม่เคยเกียจคร้านและยังดูเป็นสุภาพบุรุษ