บทที่6 แล้วพ่อของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน
ผ่านไปราวสิบห้านาทีเฉียวลู่เปิดฝาหม้อออกดู มันเทศสุกได้ที่นางจึงเทน้ำในหม้อที่เหลือเล็กน้อยออกและใช้ช้อนค่อยๆ บดให้มันเทศละเอียดจากนั้นจึงเติมน้ำและเคี่ยวอีกครั้ง มันเทศหนึ่งหัวจึงดูเยอะขึ้นหลังจากเติมน้ำและเกลือหยิบสุดท้ายลงไป
กลิ่นหอมของโจ๊กมันเทศทำให้ท้องของเฉียวลู่ร้องประท้วงเสียงดัง ดูเหมือนว่าร่างกายนี้ก็คงไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาเป็นเวลานานดูจากที่แค่ได้กลิ่นโจ๊กมันเทศก็สามารถทำให้มีความอยากอาหารได้ถึงขนาดนี้
เฉียวลู่ตักโจ๊กมันเทศลงในชามสามชามแล้วยกกลับไปที่ห้องเดิมที่ตนเองได้ฟื้นขึ้นมาครั้งแรก ตอนนี้ยังสว่างอยู่แต่พระอาทิตย์ก็กำลังคล้อยต่ำลงไปเรื่อยๆ กระท่อมหลังนี้ดูเหมือนจะไม่มีเทียนด้วยเหมือนกัน เฉียวลู่หันมามองเด็กชายอีกคนที่เดินตามนางมา
“อีกคนเล่า ชื่ออะไรนะอวี้หลงหรืออวี้ชิง”
เฉียวลู่ถามเด็กชายที่กำลังยืนมองหน้านางอยู่
“อวี้ชิง”
เสียงเล็กๆ แต่แหบแห้งดังขึ้น เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ใช้เสียงมาเป็นเวลานาน
“เจ้าชื่ออวี้ชิงหรือ”
เด็กชายส่ายหน้าไปมา
“เช่นนั้นก็อวี้หลง”
อวี้หลงพยักหน้าขึ้นลง ดูเหมือนเด็กบ้านนี้จะไม่ชอบพูดเฉียวลู่มองใบหน้าเล็กที่ซูบตอบของเขา อวี้หลงมีไฝเม็ดเล็กๆ ที่ใต้ตาข้างขวา ทำให้ดวงตากลมโตดูโดดเด่นทั้งๆ ที่พวกเขาผอมมากขนาดนี้ เสียงเดินเบาๆ ด้านนอกทำให้เฉียวลู่ละความสนใจจากอวี้หลงแล้วหันไปมอง อวี้ชิงที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่พวกเขาทั้งสองคน ในมือถือบางอย่างเอาไว้ทั้งสองข้างเมื่ออวี้ชิงหยุดยืนตรงหน้าเฉียวลู่เขายื่นบางอย่างมาที่หน้าของนาง
“อะไรหรือ”
เฉียวลู่มองอย่างสงสัย เมื่ออวี้ชิงแบมือเล็กที่ผอมแห้งของเขาออกทำให้เฉียวลู่เห็นไข่นกใบเล็กๆ สองฟอง เฉียวลู่เห็นดังนั้นถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เด็กคนนี้กตัญญูต่อแม่ของพวกเขาจริงๆ ตัวก็เล็กแค่นี้แต่กลับทำท่าทางเหมือนตนเองเป็นผู้ใหญ่
“ท่านแม่....กิน”
อวี้ชิงพูดเสียงเบาแต่เฉียวลู่กลับได้ยินมันอย่างชัดเจน คำพูดเพียงคำเดียวของเด็กชายมันได้สลักลึกลงไปในใจของนาง นับแต่วินาทีนั้นเฉียวลู่ได้สัญญากับตัวเองในใจว่า ไม่ว่าเด็กสองคนนี้จะเป็น
ลูกของตนหรือไม่นางก็จะเลี้ยงดูพวกเขาเป็นอย่างดีไม่ให้พวกเขาต้องลำบากอีกต่อไป
เฉียวลู่เก็บไข่นกสองฟองเอาไว้และให้อวี้หลงกับอวี้ชิงกินโจ๊กมันเทศที่ตนทำ เด็กทั้งสองคนไม่ยอมลงมือกินจนกว่าเฉียวลู่จะเริ่มกินก่อน นั่นยิ่งทำให้เฉียวลู่รู้สึกว่าเด็กสองคนนี้ต้องถูกเลี้ยงดูสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่ท่าทางดูหิวโหยขนาดนั้นแต่พวกเขากลับไม่ยอมกินและเวลากินก็ดูเรียบร้อยไม่มูมมามเหมือนอย่างที่เฉียวลู่คิด
โจ๊กมันเทศถูกทั้งสามคนจัดการจนหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่เฉียวลู่ยังรู้สึกว่าตนเองยังคงหิวอยู่และนางก็คิดว่าเด็กทั้งสองคนก็คงไม่อิ่มเหมือนกัน แต่จะทำอย่างไรได้กระท่อมหลังนี้ไม่มีของกินเลยคงต้องอดทนจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้
พระอาทิตย์ยามเย็นคล้อยต่ำลงไปเรื่อยๆ กระท่อมของเฉียวลู่ตั้งอยู่บนเนินเขาทำให้เมื่อยามที่พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาทำให้มองเห็นภาพบรรยากาศของธรรมชาติที่สวยงามที่แทบจะหาดูได้ยากในโลกก่อนของนาง เฉียวลู่พาเด็กๆ ออกมานั่งหน้ากระท่อมมองพระอาทิตย์ยามเย็นเผื่อจะทำให้ลืมเรื่องหิวไปได้
นั่งไปสักพักเฉียวลู่ก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปถามอวี้หลงที่ดูเหมือนจะพูดเก่งกว่าอวี้ชิงเล็กน้อย
“อวี้หลงจ๊ะ ท่านพ่อของพวกเจ้าไปอยู่ที่ไหนหรือทำไมแม่ไม่เห็นเขาเลยพวกเจ้าลำบากขนาดนี้ทำไมเขาไม่อยู่ที่นี่คอยดูแลพวกเจ้า คงไม่ใช่ว่า.....”
ประโยคสุดท้ายเสียงของนางเบาลง เฉียวลู่ไม่กล้าพูดในสิ่งที่ตนเองคิดออกไปเพราะกลัวว่าถ้าเกิดมันเป็นเรื่องจริงอาจจะกระทบจิตใจของเด็กทั้งสองคนได้ ช่างเถอะเขาจะอยู่ที่ไหนก็ช่างแต่ตอนนี้เขาได้จากไปแล้วและเด็กทั้งสองคนก็เป็นหน้าที่ของนางเพียงคนเดียวที่จะต้องดูแลเลี้ยงดูพวกเขาให้เติบใหญ่ บางทีการที่นางทะลุมิติมาที่นี่อาจเป็นเพราะเด็กสองคนนี้ก็เป็นได้ เฉียวลู่เลิกสนใจที่จะถามหาพ่อของเด็กชายทั้งสองสิ่งสำคัญที่นางต้องใส่ใจในตอนนี้คืออวี้หลงและอวี้ชิงเท่านั้น