แบม
“ที…นี่ก็สองวันแล้วนะเธอยังตามอยู่อีก” พี่เอมกล่าว ซึ่งในตอนนี้เรากำลังกินขนมจีนกันที่ร้านหน้าซอย
และคนที่พี่เอมกล่าวถึงก็คือ หญิงสาวที่นั่งโต๊ะตรงข้ามผม เธอคือนักข่าวที่มาของสัมภาษณ์ผม และไม่ยอมไปแม้ผมจะปฏิเสธไปหลายต่อหลายรอบก็ตาม ที่จริงก็มีนักข่าวในพื้นที่มาขอสัมภาษณ์ แต่เมื่อรู้ว่าผมมีแบ็คหลังที่ใหญ่พอสมควร พวกเขาก็เลยไม่ค่อยกล้าตอแยผมมาก
แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงคนนี้จะล่วงเกินชีวิตประจำวันผม เธอเพียงแค่ตามผมไปเรื่อยๆ ได้โอกาสก็จะเข้ามาหา เข้ามาทักทาย บางครั้งเธอก็เลี้ยงน้ำผม เลี้ยงขนมผม และยิ้มแย้มให้กับผมตลอดเวลา
“เดี๋ยวเธอก็ไปเองแหละครับ…จะว่าไปพรุ่งนี้ก็ปฐมนิเทศล่ะ”
“ขี้เกียจจัง” ผมกล่าว เพราะนอกจากจะปฐมนิเทศแล้ว พวกรุ่นพี่ยังเรียกไปคุยอีกด้วย เกี่ยวกับกิจกรรมรับน้อง
“พี่สงสารเธอจัง…” พี่เอมกล่าวเมื่อเห็นท่าทางเบื่อหน่ายของผมทั้งการเรียนและการตามตื้อของนักข่าวสาว ซึ่งอายุเธอน่าจะราวๆเด็กจบใหม่ แต่ความมุ่งมั่นของเธอมันสุดยอดมาก นึกถึงตอนที่ผมเปิดบริษัทใหม่ๆเลยนะ
“อืม….” ผมส่งเสียงพลางคิดในใจเกี่ยวกับการทำงานของนักข่าวสาวคนนี้
“เดี๋ยวพี่เรียกเธอให้” เมื่อพี่เอมเห็นสีหน้าช่างคิดของผมจึงกล่าวออกมาและเดินไปหาเธอ
“สวัสดีค่ะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้ผมอย่างสุภาพผมจึงยกมือขึ้นมารับไหว้
แต่เดี๋ยวก่อนนะ
“ผมปีหนึ่งเองครับ” ผมกล่าวก่อนจะยิ้มออกมา ผมดันลืมตัวไปนึกว่าอายุสามสิบ
“พวกคุณทานกันเสร็จแล้วรับของหวานด้วยไหมคะ?” เธอกล่าวถามผมและพี่เอม ซึ่งผมก็ยิ้มออกมา
“น้ำแข็งใสราดน้ำแดงล่ะกัน” ผมกล่าวก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูพอร์ตการลงทุน ซึ่งในวันนี้ผมทำกำไรไปได้สามล้านบาท ผมทำกำไรได้มากขึ้นในทุกๆวัน แต่ผมก็ปล่อยเสียไปบ้างแสนหนึ่ง ล้านหนึ่ง ให้เห็นว่าการลงทุนของผมเองก็ยังมีผิดพลาด เพื่อไม่ให้กระทบต่อตลาดและเป็นที่จับตามองมากเกินไป
“คุณชื่ออะไรครับ?” ผมกล่าวถามทำให้นักข่าวสาวยิ้มกว้างทันที เป็นอันว่าผมอาจจะยอมให้เธอสัมภาษณ์แล้ว
“ชื่อแบมค่ะคุณที” แบมกล่าวตอบผม ซึ่งดูเหมือนเธอจะพยายามสืบข้อมูลของผมมามากมาย และไม่ได้ปฏิบัติกับผมเป็นเพียงแค่เด็กมหาลัย เพราะเธอคงจะได้เห็นการใช้ชีวิตของผมมาแล้ว ผมจ่ายเงินเป็นว่าเล่น ซื้อของใช้ของกินโดยไม่ต้องคิด คงจะไม่ใช่เด็กธรรมดาแน่ๆ และยิ่งที่มีตำรวจให้ความเคารพกับผมด้วยอีก
“ผมจะให้คุณสัมภาษณ์ถ้าหากคุณมาเข้าทำงานในบริษัทของผม” ผมกล่าวก่อนจะเริ่มคิดเรื่องบริษัท คาร์บอน ที่ผมจะสร้างขึ้น แต่เมื่อคิดถึงคนที่จะเข้ามาช่วยสร้างบริษัทซึ่งต้องมีผู้ใหญ่สักคน และนอกจากแม่ของผมแล้ว ก็อาจจะต้องยืมชื่อของคุณเบนซ์มาด้วย
เท่านั้นแหละ
‘ลืมเรื่องหน่วยรบพิเศษไปเลยแหะ’ ผมคิดในใจก่อนจะส่งข้อความหาลุงรันว่าผมเพิ่งจะว่างและในวันนี้จะเข้าไปหาเขา
“เอ่อ…” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ใครก็ว่าตลก บริษัทของเด็กปีหนึ่งเนี่ยนะ?
“จะเริ่มแล้วเหรอ?” พี่เอมกล่าวถาม ซึ่งผมได้ตกลงกับพี่เอมไว้แล้วว่าจะให้เธอเข้ามาควบคุมการเงินของบริษัททั้งหมด
“ใช่ครับ…ทีพักเหนื่อยมาพอแล้ว” ผมกล่าวก่อนจะยื่นมือไปจับมือของพี่เอม
“ผมอยากให้คุณลองเปิดใจดูครับคุณแบม”
“ผมกำลังจะจัดตั้งบริษัทเร็วๆนี้”
“ผมเชื่อว่าคุณคงจะลำบากมากในชีวิตและการงาน”
“ลองมาทำงานกับผมดูไหมครับ?” ผมกล่าวถามออกไปตรงๆ และจ้องไปที่สายตาของเธอ มันบ่งบอกได้ว่าเธอสับสนและลังเลมากๆ
“ข่าวที่คุณต้องการทำ…ผมจะซัพพอร์ตทุกอย่างเอง”
“คุณแค่ทำสิ่งที่ต้องการไป”
“มาช่วยกันสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันครับ" เมื่อผมกล่าวออกไปอีกครั้ง มันยิ่งทำให้คุณแบมคิดหนัก
“คุณทีจะสร้างบริษัทเกี่ยวกับอะไรเหรอคะ?" คุณแบมกล่าวถาม ดูเหมือนว่าเธอจะเริ่มสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“สื่อออนไลน์และผลิตภันฑ์ครับ” ผมกล่าวออกไป และมันทำให้คุณแบมเริ่มคิด การจะทำหลายๆอย่างในบริษัทเดียวมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แล้วยิ่งเป็นเด็กรุ่นใหม่สร้างขึ้นมาอีก คงจะยากพอสมควร
“เอาแบบนี้ดีกว่าครับ…เดี๋ยวผมจะจดทะเบียนชื่อบริษัทขึ้นมาก่อน”
“และคุณแบมค่อยให้คำตอบผมก็ได้ครับ”
“แต่ว่าผมอยากให้คุณแบมลองเสนอเงินเดือนมาก่อนครับ” ผมกล่าว และเพื่อเป็นการมัดมือ ผมก็เลยกล่าวถึงเงินเดือนที่เธอจะได้รับขึ้นมา เพราะผมเชื่อว่ายังไงผมก็สามารถให้ได้มากกว่าบริษัทที่เธออยู่แน่ๆ และยิ่งคุณแบมเป็นคนมีความสามารถ ผมก็ยิ่งคุ้มเข้าไปอีก
“สองหมื่นห้าพันบาท…” คุณแบมกล่าวออกมา ถึงแม้ท่าทางของเธอจะแสดงออกว่าเธอมั่นใจ แต่สายตาของเธอมันยังสั่นไหวแปลว่าเธอยังกลัวและตื่นเต้น รวมถึงไม่มั่นใจ
“สามหมื่น…คือเงินเดือนเริ่มต้นของคุณแบม” แต่เมื่อผมกล่าวออกไป มันทำให้คุณแบมถึงกับสำลักน้ำทันที
“แค่กๆ” คุณแบมพยายามตั้งสติและมองหน้าผมอีกครั้ง แต่ด้วยสีหน้านิ่งเฉยของผม มันต่างบอกว่าผมพูดจริง ไม่ได้โกหก
“แต่ถ้าอยากได้เพิ่มมากกว่านั้น…ก็ลองแสดงความสามารถทั้งหมดออกมาดูครับ” ผมกล่าว ซึ่งในตอนนี้ผมเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามือของเธอเริ่มสั่น เธอจึงวางมือลงบนตักของตัวเองเพื่อไม่ให้ผมเห็นทันที
[เดี๋ยวกูไปรับ]
ผมส่งข้อความหาไอโดม เพราะในตอนนี้ผมคิดอะไรดีๆได้แล้ว ในเมื่อมันกำลังเรียนอยู่ ผมก็อยากให้มันเริ่มออกแบบที่ทำงานให้ผมทันที เมื่อมันเรียนเสร็จ ที่ทำงานของผมก็จะออกแบบเสร็จด้วย แถมยังได้รับการตรวจเช็คจากอาจารย์ของมันที่อยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญอีก
“ก่อนอื่น…ไปสัมภาษณ์ผมกันครับ” ผมกล่าวก่อนจะเรียกเช็คบิลเมื่อน้ำแข็งใสมาส่งที่โต๊ะพอดี ซึ่งมันใส่ไว้ในถ้วยพลาสติกใส ผมจึงจะให้ทุกคนพามันไปกินด้วย ระหว่างทำงาน
ณ ตรงข้ามซอยหอพัก
ซึ่งตรงข้ามซอยหอพักของผมมันมีพื้นที่ว่างเป็นป่าอยู่ราวๆ 500 ตารางเมตร และผมคิดจะใช้ที่นี่และสร้างที่ทำงานขึ้นมา และเราก็ลงกันมาจากรถทั้งสี่คน รวมถึงไอโดม ซึ่งมันก็ออกอาการเกร็งๆเล็กน้อยเพราะนั่งมากับสาวสวยหนึ่งคนคือพี่เอม และสาวสุดน่ารักอย่างคุณแบม
“มึงศึกษาพื้นที่เลย…แล้วเดี๋ยวมารายงานกู” ผมกล่าว ซึ่งไอโดมก็ดูมีไฟมาก มันพยักหน้าตอบรับและเดินไปเดินมาบริเวณนี้ทันที
“มาครับ” ผมหันไปกล่าวกับคุณแบม ซึ่งคุณแบมก็ได้ตั้งอุปกรณ์ที่เธอพามาทันที โดยที่ไม่ท้วงผมสักคำว่าให้ไปสัมภาษณ์ที่อื่นๆดีกว่าไหม
“สวัสดีค่ะ” เมื่อคุณแบมกล่าวทำให้ผมส่ายหัวทันที
“สัมภาษณ์แบบเรียลๆ” ผมกล่าว ทำให้คุณแบมตั้งสติใหม่และทำตามที่ผมบอก
และเวลาก็ได้ผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมง
ผมและคุณแบมก็พูดคุยกันไปพอสมควรเกี่ยวกับเรื่องที่ผมเข้าไปช่วยเหลือหน่วยรบพิเศษ และเกี่ยวกับชีวิตของผมเล็กน้อย ซึ่งแน่นอนว่าผมก็โกหกไปพอสมควร แต่เรื่องทีผมโกหกไปมันก็มีข้ออ้างอิงมารองรับทั้งนั้น
ส่วนพี่เอมและไอโดมก็ยืนคุยเกี่ยวกับสถานที่นี้อยู่พอสมควร ทั้งสองคุยเรื่องที่ทำงานที่เราจะสร้าง และเรื่องค่าใช้จ่าย จนผมได้เดินไปหาทั้งสอง ส่วนคุณแบมก็กำลังเก็บอุปกรณ์ของเธอ
“เป็นไง” ผมกล่าวถามไอโดม
“ดีเลย…แล้วมึงอยากได้ห้องยังไงบ้าง” โดมกล่าวถามผมกลับ
“ห้องถ่ายทำหนึ่งห้องใหญ่และห้องทำงาน 3 ห้องเล็กที่มีกำแพงกั้นและมีทางเข้าเป็นประตูเลื่อน”
“ห้องน้ำมีแยกชายหญิง”
“และมีห้องนั่งเล่นรวมถึงห้องประชุมอย่างละหนึ่ง” ผมกล่าว ซึ่งไอโดมก็ดูจริงจังมาก มันจดทุกอย่างที่ผมพูดลงไว้ในโทรศัพท์ทั้งหมด
“กูทำได้” โดมกล่าวด้วยสายตาที่เป็นประกาย แต่ผมกลับมองว่ากำลังมีไฟลุกโชนอยู่ในนั้น
“ฝากมึงด้วยนะเพื่อน” ผมกล่าวก่อนจะยกยิ้มออกมา
ซึ่งหลังจากนั้น เมื่อคุณแบมได้สิ่งที่ต้องการแล้วเธอก็ขอตัวกลับไปที่บริษัทที่อยู่ที่กรุงเทพทันที ส่วนผม พี่เอมและไอโดมก็แยกย้ายกันกลับห้อง และผมก็เตรียมตัวใส่ชุดที่สุภาพเพื่อไปหาลุงรันที่สถานีตำรวจ
สถานีตำรวจ
“สวัสดีครับลุงรัน” ผมกล่าวทักทายลุงรันที่ยืนอยู่หน้าสถานีตำรวจ และดูเหมือนเขาเพิ่งจะคุยธุระเสร็จ
“สวัสดีครับ” โดยผมก็ได้หันไปไหว้ผู้ใหญ่ข้างๆด้วย
“สวัสดี” ทั้งสองกล่าว
“ช่วยหน่อยนะเพื่อน…เครียดมากเลยว่ะ” อีกคนที่ยืนข้างๆลุงรันกล่าว
“ไม่ต้องห่วง…ขายไปเลยถ้าเขามีปัญหาก็ให้มาคุยกันที่นี่” ลุงรันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่เพื่อนลุง…เขาโดนพวกมาเฟียกดราคาที่มา” ลุงรันกล่าว ซึ่งทำให้ผมรู้สึกตระหงิดใจ
“ที่ตรงไหนเหรอครับ?" ผมกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ตรงข้ามซอยทุ่งแสงตะวัน…” เพื่อนของลุงรันกล่าวก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวตัวเองด้วยความกดดัน
“เขาจะเอาไร่นึงแล้วลุงขายไม่ได้”
“มันต้องขายด้วยกันหมด…แล้วยิ่งจะเอาที่ติดกับถนนอีก” เพื่อนลุงรันกล่าวด้วยความกระวนกระวาย
“แล้วลุงจะขายกี่ไร่ครับ?” ผมยกยิ้มมุมปากและกล่าวถามออกไป
“ไร่นึงมันเอาสามแสน…แต่ลุงมี 5 ไร่”
“ลุงจะขายสามล้าน”
“เพราะลุงมีภาระที่ต้องแบกรับ" ลุงกล่าว ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบรับ
“ลุงพร้อมโอนที่ไหมครับ” เมื่อผมกล่าวออกไป ทำให้ทั้งสองคนชะงักค้าง
“ผมพร้อมจ่ายครับ” ผมกล่าวออกไปตรงๆ ซึ่งมันทำให้ลุงถึงกับอ้าปากค้าง ส่วนลุงรันก็ได้แต่แสดงสีหน้าสับสน
“หลานแกเหรอ?” เขาหันไปกล่าวถามลุงรันทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมกล่าว
“ไม่ใช่…แต่ฉันรู้จักเขาเคยช่วยชีวิตฉันไว้” ลุงรันกล่าว ก่อนที่เพื่อนของลุงรันจะตั้งสติอีกครั้ง
“ผมไม่กลัวหรอกนะ…พวกมาเฟีย”
“ถ้ามันจะมาก็ให้มาคุยกับผม” ผมกล่าว ซึ่งลุงเขาก็ยังมองหน้าลุงรันเพื่อนตัวเองอยู่ และลุงรันก็พยักหน้าว่าสามารถเชื่อถือผมได้
“ถ้ายังไงลุงทำสัญญามาเลยครับแล้วเจอกันที่กรมที่ดินพรุ่งนี้” ผมกล่าวก่อนจะมอบนามบัตรของผมให้กับเพื่อนของลุงรัน ซึ่งนามบัตรของผมก็คือนามบัตรของบริษัท Supreme โดยสิ่งที่ผมได้รับมาจากคุณเบนซ์ก็จะมี ปืนพกสีเงินและใบยืนยันว่าถูกกฏหมาย มีตราสัญลักษณ์บริษัทเป็นตัว S แถมตรานี้ยังเป็นทองแท้อีกด้วย รวมถึงยังมีนามบัตรของผมอีกสิบใบรับรองว่าผมอยู่ในบริษัทนี้
“เขาอยู่ไหนครับ…พอดีผมมีเรื่องต้องไปจัดการต่อ” ผมกล่าวกับลุงรันก่อนจะเดินเข้าไปในสถานีตำรวจ ปล่อยให้ลุงทั้งสองคนยืนงงกันอยู่สักพักและเพื่อนลุงรันก็ขอตัวกลับ ส่วนลุงรันก็เดินเข้ามาในสถานีตำรวจ
“จะเอาพื้นที่นั้นไปทำอะไรเหรอ?” ลุงรันกล่าวถาม
“สร้างบริษัทและหอพักครับ” ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ฟึบๆๆๆ ผลั๊วะ
เมื่อผมมาถึงห้องซ้อมของตำรวจ ผมได้เห็นพวกตำรวจที่กำลังนั่งและยืนดูการต่อสู้ของพวกหน่วยรบพิเศษอยู่ ซึ่งพวกเขามีทักษะที่ดีพอสมควรเลยทีเดียว ยิ่งหัวหน้าหน่วยรบพิเศษ เขาเก่งกว่าทุกคนอย่างเห็นได้ชัด
“ไง…มาแล้วเหรอ” หัวหน้าหน่วยรบพิเศษกล่าวก่อนจะสั่งทุกคนหยุดซ้อม ซึ่งทั้งหกคนก็เดินออกไปจากพื้นที่กว้างไปอยู่มุมห้องทันที
“ดูมีน้ำมีนวลขึ้นนะ…แค่สองวันเอง” เขากล่าวซึ่งผมก็ยิ้มออกมา จะไม่เห็นความแตกต่างได้ยังไงล่ะ ในเมื่อผมกินวันละหกมื้อ แถมยังอัดโปรตีน ไข่ไก่และอกไก่ไปจำนวนมาก รวมถึงผมยังออกกำลังกายไปพอสมควรอีกด้วย ที่จริงผมกินเยอะกว่านั้นซะอีก ทั้งยาช่วยเพิ่มความดีดในการออกกำลังกาย และยายื้อโปรตีน ที่ไม่ว่าจะออกกำลังกายหรือวิ่งไปขนาดไหน ก็ยังคงย้ำโปรตีนในร่างกายไม่ให้เผาผลาญมัน