ซัพพอร์ต
“…” เมื่อผมเข้ามานั่งข้างคนขับได้สักพัก ปรากฏนักเลงที่จ้องหน้าผมมาตั้งแต่ข้างในร้านถูกจับและกำลังจะถูกพาขึ้นรถตำรวจ มันหันมามองหน้าผมจนเดินเลยรถไป
และมันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีมากๆ
“พี่เอม…สักครู่นะครับ” ผมกล่าวก่อนจะเปิดประตูรถขึ้นอีกครั้งและเดินตามชายคนนั้นไป ซึ่งเขาก็มีตำรวจคอยคุมอยู่อย่างต่อเนื่อง และในครั้งนี้ผมเล่นใหญ่ด้วย ผมหยิบบุหรี่ไฟฟ้าออกมาสูบ ทำให้หลายคนจ้องมองผมเพราะคิดว่าผมจะต้องโดนจับแน่ๆ ผมพ่นควันไปข้างหน้าจนควันนั้นได้ชะโลมไปที่หัวของนักเลงคนนั้น มันจึงหันกลับมายืนนิ่งและจ้องมองผม
“มึงรู้ไหม…ถ้าตำรวจไม่ได้มาที่นี่…สภาพของมึงจะเป็นยังไง?” ผมกล่าว ซึ่งที่ผมกำลังจะทำต่อไปนี้ เพื่อให้มันไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับผมอีก เพราะผมเชื่อว่าถ้ามันหลุดคดีเมื่อไหร่ มันไล่ตามผมแน่
“กูไม่ได้จะต่อยหรือเอามีดแทงมึง” ผมกล่าวแต่อยู่ดีๆก็มีตำรวจเข้ามาข้างๆผมและจับมือของผม ซึ่งผมก็ได้ใช้ความเร็วรวบมือนั้นและผลักตำรวจออกไปพร้อมกับหยิบปืนที่เอวของเขามา ตำรวจทุกคนเมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งมาล้อมรอบผมในทันที
“แต่กูจะยิงมึงและพรรคพวกของมึงที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกู”
“ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น…เรื่องของมึงก็จะเงียบหายไปเอง”
“เสมือนกับการที่กูปลิดชีวิตมึงไปง่ายๆโดยไม่มีใครรู้” ผมกล่าวพร้อมกับปลดส่วนประกอบของปืนในมือให้เหลือแต่ด้ามจับ
เกร้ง เกร้ง
เสียงกระสุนปืนค่อยๆร่วงหล่นลงบนพื้น และสิ่งที่ผมกล่าวไปทำให้มันไม่กล้าสบตาผม มันก้มหน้าลงพื้นและพยายามจะหันกลับไป เพราะในเมื่อผมอยู่ตรงนี้ และไม่ว่าผมจะทำอะไรที่นี่ ผมตะไม่โดนข้อหาอะไรเลย ทั้งๆที่สิ่งผิดกฏหมายยังอยู่ในมือของผม นี่แหละคือสิ่งที่ผมมี เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมกล่าวไปทั้งหมด ผมทำมันได้จริงแน่ๆ
และที่ผมทำแบบนี้ เพื่อให้มันไปให้ไกลจากผม ไม่ใช่ว่าผมกลัวมัน แต่มันต้องกลัวผมที่ผมสามารถทำให้มันหายไปตลอดกาลยังได้ เมื่อผมกล่าวจบผมก็ประกอบปืนคืนให้กับตำรวจนายนั้นและก้มลงไปเก็บกระสุนมาใส่ให้เหมือนเดิม
“หรือกูสามารถประกอบมึงขึ้นมาใหม่…กูก็ยังทำได้” ผมกล่าวเพื่อแสดงอำนาจของผมให้มันเห็นอย่างชัดเจน
“มึง…ไม่ควรมายุ่งกับกู” ผมกล่าวก่อนจะก้มหน้าลงไปจ้องมองหน้ามันที่หลบหน้าผมอยู่
“ขอบคุณครับ” ผมกล่าวพร้อมกับยื่นปืนคืนให้ตำรวจนายนั้น ซึ่งก็ไม่มีตำรวจคนไหนกล้าเข้ามาใกล้ผมแม้แต่คนเดียว และทุกๆคนต่างปล่อยเปิดทางให้ผมกลับเข้าไปนั่งในรถของพี่เอม
“อ่ะ…ถ้าจะทำลายทิ้งก็ถอดแบตออกก่อนด้วยเดี๋ยวมันระเบิด” เมื่อตำรวจยศใหญ่ต้นเรื่องเดินมาดักผมหน้ารถพี่เอม ผมจึงยื่นบุหรี่ไฟฟ้าในมือของผมให้เขาและเปิดประตูรถพร้อมกับเข้าไปนั่งในรถอย่างสบายใจ
“แต่ถ้าจะใช้หรือขายต่อ…ก็เช็ดให้สะอาดล่ะ” ผมกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกดกระจกรถยนต์ขึ้น ซึ่งการกล่าวของผมมันทำให้พวกตำรวจถึงกับสะดุ้งกันไปหมด ไม่สะดุ้งบนกายก็สะดุ้งในใจกันบ้างแหละ และมันทำให้พวกเขารู้ได้ทันทีว่าผมรู้เรื่องอะไรมากกว่าที่พวกเขาคิดซะอีก แสดงว่านอกจากนักเลงคนนั้นที่ไม่ควรมายุ่งกับผมแล้ว พวกตำรวจเองก็ไม่ควรเช่นกัน ก็แน่ล่ะในชีวิตที่แล้วตัวผมเองก็ยศใหญ่พอสมควร รู้อะไรมาเยอะมากๆ
“คืนนี้ทีจะนอนกอดพี่และหอมพี่รัวๆเลยพี่เอม” เมื่อเหลือเพียงเราสองคน ผมกล่าวออกไปทำให้พี่เอมถอนหายใจยาวออกมา
“เด็กบ้า” พี่เอมกล่าว เมื่อครู่ที่ผมจับปืนใจเธอตกถึงตาตุ่มเลยทีเดียว และคิดว่าผมคงจะไม่ได้กลับด้วยกันแล้ว แต่จะไปที่ สน. ซะแทน
14 : 00
“พี่เอม…เดี๋ยวทีจะไปคุยงานกับไอโดม” ผมกล่าว ซึ่งที่จริงเราตื่นกันตั้งแต่เที่ยงๆแล้ว แต่เพราะว่าผมและเธอยังคงอยากนอนนัวเนียกันต่อก็เลยไม่มีใครลุกขึ้น แต่เมื่อผมนึกขึ้นมาได้ว่า ผมลืมติดต่อหาพี่ส้ม ผมจึงต้องหาทางแยกกับพี่เอมซะก่อน
“ไปนานป่าว…เดี๋ยวพี่รอที่หอ” พี่เอมกล่าว ดูเหมือนพี่เอมต้องการจะไปทานอาหารเย็นกับผม
“เดี๋ยวบ่ายสี่ครึ่งจะกลับมาครับ” ผมกล่าวพร้อมกับยื่นหน้าไปหอมแก้มพี่เอมและหอมไปที่หน้าผากก่อนจะกอดพี่เอมไว้แน่นๆ
“อื้ม…รีบๆกลับมานะ”
“คิดถึง” พี่เอมกล่าว ซึ่งผมก็ยิ้มให้และพี่เอมก็ยื่นมือมาหยิกแก้มผมทั้งสองข้างก่อนที่ผมจะลุกขึ้นจากเตียง สวมใส่ชุดบอลเพราะเมื่อคืนเรานอนเปลือยกัน แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรพี่เอมเหมือนเดิม เรานอนกอด หอม และจูบกันเพียงเท่านั้น
“เดี๋ยวกูเดินไปหอมึง” ผมโทรหาไอโดมก่อนจะตัดสายไปเพื่อไม่ให้มันกล่าวถามอะไรผม ซึ่งผมจะได้ว่าผมเห็นในสตอรี่ของมัน มันไปเปิดห้องพักรายเดือนอยู่ข้างๆหอผมนี่เอง
“จะรีบกลับมานะครับ” ผมกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะปิดประตูลง
“เป็นไงบ้างวะ?” ผมกล่าวถามเมื่อเข้ามาในห้องของมัน ซึ่งผมได้พบกับเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าๆและมีสมุดรวมถึงกระดาษมากมายอยู่ตรงหน้า
“ก็อย่างที่มึงเห็น…เออกูมีอะไรจะขอมึงด้วย” เมื่อไอโดมกล่าวทำให้ผมหันไปสนใจมันมาก และภาวนาไม่ให้มันของเงินผมไปใช้จ่ายอะไรสิ้นเปลือง
“ตอนนี้กูศึกษาพื้นฐานจนพอเข้าใจล่ะ…แต่เนื้อหาหลักๆมันยาก”
“กูอยากซื้อคอร์สเรียนขอเงินหน่อย” เมื่อมันกล่าวออกมาทำให้ตาผมเป็นประกายในทันที แสดงว่าผมปลุกไฟในตัวมันได้สำเร็จ
“เอาเท่าไหร่” ผมกล่าวถามไปตรงๆ ผมพร้อมสนับสนุนอยู่แล้วถ้าหากมันตั้งใจขนาดนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องเที่ยวเมื่อคืนคงจะยอมๆให้มันได้ มันอาจจะออกไปเที่ยวเพื่อปลดปล่อยความเครียดก็เป็นได้
[คุณส่งรูปภาพ]
[คุยกับเพื่อนก่อนนะครับ]
ผมส่งข้อความและถ่ายรูปไอโดมให้พี่เอม ก่อนจะกดวิดีโอคอลโทรหาพี่ส้ม ซึ่งสักพักพี่ส้มก็รับสายในทันที และมันทำให้ไอโดมสับสนพอสมควร ไหนบอกจะมาคุยงาน แล้วนี่อะไร?
มาโทรหาสาว!
“เค้าคิดถึงเธอ…ตอนนี้เค้ากำลังจะคุยงานกับเพื่อน”
“เค้าพยายามหาเวลาว่างอยู่แต่ยุ่งมากเลย” ผมกล่าวก่อนจะยิ้มให้คนในโทรศัพท์ ซึ่งพี่ส้มกำลังนอนอยู่บนเตียง
“อื้ม…เดี๋ยวเค้าเฝ้าเธอเอง” พี่ส้มกล่าวก่อนที่ผมจะยิ้มแห้งออกมาและวางโทรศัพท์ไว้บนชั้นวางติดกำแพงบนโต๊ะคอม ให้เห็นว่าผมคุยงานอยู่จริงๆ
และที่ผมทำแบบนี้ ก็เพื่อให้พี่ส้มเข้าใจ และเห็นว่าเวลาของผมมันมีจำกัดมาก เดี๋ยวก็มีเรื่องวุ่นวายเข้ามา เดี๋ยวก็มีงานเข้ามา ทำให้ยากที่จะติดต่อกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะปล่อยให้พี่ส้มซึมอยู่คนเดียว ผมก็ให้พี่ส้มดูงานของผมได้ เพราะงานนี้ผมไม่ได้คุยกับผู้ใหญ่ ผมคุยและสั่งงานกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
“คุยเสร็จยัง” โดมกล่าวถามซึ่งผมก็พยักหน้า
“หมื่นห้า…มันเป็นคอร์สเรียนแบบคลิป” ไอโดมกล่าวก่อนจะเปิดคอร์สเรียนนั้นให้ผมดู แต่ผมกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“มึงต้องเรียนแบบที่อาจารย์สามารถให้คำตอบมึงได้เวลามึงถาม" ผมกล่าวก่อนจะนึกอะไรดีๆขึ้นได้
“มึงหาคอร์สเรียนแบบตัวต่อตัวดีกว่า" ผมกล่าวก่อนจะหันไปยิ้มให้กับพี่ส้ม ซึ่งในสักพักต่อมาไอโดมมันก็หาเจอ และมันก็ได้หาคนที่มันคิดว่าสอนดีไว้แล้วด้วย แต่สีหน้าของมันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ากำลังกดดัน
“โดม…เงินห้าหมื่นนี้สร้างอนาคตให้มึงได้ไกล”
“และกูพร้อมที่จะสนับสนุน” ผมกล่าว แต่สีหน้าของมันก็ยังเคร่งเครียดอยู่ดี
“มึงไม่อยากเป็นเด็กปีหนึ่งที่เก่งกว่าอาจารย์เหรอวะ?” ผมกล่าวถามออกไปทำให้สีหน้าของมันดีขึ้นเล็กน้อย
“ติดต่อเลย…กูพร้อมโอน” ผมกล่าว ซึ่งไอโดมมันก็ไม่ได้พูดอะไร มันก็ทำการติดต่อกับอาจารย์คนนั้นไปทันที โดยเวลาเรียนคือหนึ่งเดือนเต็ม จะเรียนวันละ สองชั่วโมง
“มึงไม่เข้าใจตรงไหนอะไรยังไงมึงต้องถามเขานะ”
“มึงต้องเก็บเกี่ยวความรู้จากเขามาให้หมด”
“เพราะหลังจากนี้กูใช้งานมึงหนักแน่” ผมกล่าวก่อนจะหัวเราะออกมา
“เออ” ไอโดมตอบกลับมาคำเดียว แต่ดูเหมือนมันจะเริ่มฝืนๆ
“มึงจะยี่สิบแล้วโดม…มึงต้องสร้างอะไรเป็นของตัวเองแล้วเพื่อน”
“พ่อแม่มึงก็ยังคาดหวังในตัวมึงด้วย”
“รวมถึงชีวิตสบายๆกำลังรอมึงอยู่” ผมกล่าวย้ำ
ติ้ง
“ไอเหี้ยที!” เมื่อเสียงโทรศัพท์ของมันดังขึ้น ไอโดมได้เปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็ตะโกนด่าผมทันที
“ห้าหมื่นคือค่าคอร์สเรียน”
“อีกห้าหมื่นคือเงินเดือนเริ่มต้นของมึง” ผมกล่าวก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
“กูวางเป้าหมายกับมึงไว้สูงมากนะเพื่อน”
“มึงทำได้แน่นอน” ผมกล่าว ซึ่งในตอนนี้มันไม่สามารถกลับคำได้แล้ว มีแต่ต้องทำอย่างเดียว
“มันเหนื่อยนะเว้ย” ไอโดมกล่าว ทำให้ผมยิ้มแห้งออกมา
“ถ้ามึงไม่เหนื่อยมึงจะประสบความสำเร็จไหม?” ผมกล่าวถามกลับไป ผมคิดแล้วว่าต้องพยายามปรับเปลี่ยนทัศนคติของไอโดมไปทีละเล็กทีละน้อย เพื่อแสดงให้มันเห็นและเข้าใจ
“มึงจัดการไปล่ะกันนะ…กูไปคุยกับหวานใจกูแปป” ผมกล่าวก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและเดินไปนอนบนที่นอนของมัน
“ทำงานเหนื่อยไหม?” ผมกล่าวถามพี่ส้ม
“เปื่อยมากเลยมานอนสลบอยู่นี่งายย” พี่ส้มกล่าวก่อนจะใช้นิ้วจิ้มแก้มของตัวเอง
“จุ้ป” ผมส่งเสียงและทำท่างทางจุ้ปแก้มพี่ส้มผ่านวิดีโอคอล
และหลังจากนั้นผมก็คุยกับพี่ส้มมาสักพักใหญ่ ส่วนไอโดมก็กำลังโทรคุยกับอาจารย์คนนั้น จนตกลงกันได้สำเร็จว่าจะเรียนในช่วงหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่มของทุกวัน ถ้าวันไหนหยุดหรืออะไรยังไงก็ขอเพิ่มชั่วโมงเป็นวันอื่นได้ ก็ถือว่าคุยง่ายพอสมควรเลยทีเดียว และไอโดมก็โอนค่ามัดจำการสอนไปสองหมื่นห้า ซึ่งผมก็โอนให้ไอโดมไปอีกสี่หมื่น
“สี่หมื่นนี้มึงเอาไปซื้อคอมกับอุปกรณ์ใหม่” ผมกล่าวก่อนจะหันมายิ้มให้กับพี่ส้ม
“เดี๋ยวเค้ามีคุยงานกับผู้ใหญ่ต่อ…ว่างแล้วจะโทรหาอีกนะ" ผมกล่าวซึ่งพี่ส้มก็โบกมือบ๊ายๆผม และผมเองก็ทำปากจู๋ ทำให้พี่ส้มยื่นหน้าเข้ามาจุ๊บผม และผมก็โบกมือบ๊ายๆพร้อมกับกดวางสายไป
“เดี๋ยวกูไปล่ะเพื่อน…กูจะซัพพอร์ตมึงทุกอย่างเอง” ผมกล่าวก่อนจะเดินไปที่ประตู ส่วนไอโดมก็กำลังตั้งใจพิมพ์แชทคุยกับอาจารย์ในคอร์สเรียนของมันอยู่
“เออมีสิ่งที่มึงต้องจำด้วย” ผมกล่าวเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
“งานของมึงกับงานของกูมันต่างกัน”
“งานของมึงคือทำสิ่งที่เป็นไปได้ให้แปลกใหม่ที่สุด”
“ส่วนงานของกูคือทำสิ่งที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้และเหนือจินตนาการให้เป็นไปได้” ผมกล่าวซึ่งไอโดมก็ตั้งใจฟังผมมาก
“คงต้องเริ่มแล้วสินะ” ผมกล่าวออกมาหลังจากลงมาที่หอพักของไอโดม