ชาเขียว
“เริ่ม!” ลุงรันกล่าว ซึ่งในตอนนี้ทุกคนในห้องต่างจับจ้องมาที่พวกเราอย่างตั้งใจ ส่วนพวกเราเองก็จ้องหน้ากันอย่างจริงจัง ถ้าเป็นปลาทองคงท้องกันไปแล้ว
และในเวลานี้เรามีอาวุธกันเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือมีดปลอมที่มีสีแดงติดไว้ที่มีด ซึ่งถ้าหากเราโจมตีโดนคู่ต่อสู้ สีแดงนี้จะไปอยู่บนร่างของคู่ต่อสู้ทันที และนอกเหนือจากนั้นเราไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถโจมตีอีกฝ่ายจนถึงขั้นอันตรายได้ บาดเจ็บเล็กๆน้อยๆยังพอไหว
“!!” และเมื่อผมเริ่มขยับมือทั้งสองข้างไปมา มีดปลอมได้สลับไปมือซ้ายและมือขวาของผม มันทำให้หลายคนอึ้งทันที
“เดี๋ยวนะนั่นมันทักษะของ!-”
ฟึบ
มีคนกล่าวยังไม่ทันจบ ผมก็พุ่งเข้าไปหาหัวหน้าหน่วยรบพิเศษด้วยความเร็วและใช้มีดที่อยู่ในมือซ้ายปาดคอของเขาไป เกิดเป็นรอยเล็กๆสีแดงครึ่งคอทันที ส่วยอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งอยู่ด้วยความสับสน
“หึ” ผมหัวเราะในลำคอก่อนที่จะถอยออกมาและตั้งท่าใหม่ ราวกับว่าเมื่อครู่ผมยกให้เขาหนึ่งชีวิต และในครั้งนี้เราจะสู้กันอย่างจริงจัง
ฟึบๆๆๆๆๆๆๆๆ
และไม่ว่าเราจะปะทะกันกี่กระบวนท่า ก็จะเป็นฝ่ายหัวหน้าหน่วยรบพิเศษที่มีรอยเฉือนสีแดงอยู่บนร่างกายเต็มไปหมด ส่วนตัวของผมยังไม่มีแม้แต่รอยเดียว ผมปัดป้องและหลบการโจมตีได้ทั้งหมด ซึ่งในตอนนี้เขาเริ่มจะไขว้เขวแล้ว สายตาของเขากำลังบ่งบอกว่าเขาไม่สามารถแพ้ได้ และมุ่งมั่นแต่จะเอาชนะโดยลืมคิดเกี่ยวกับแผนและการใช้ทักษะสู้กับผม
“ผมแพ้แล้ว” แต่ในที่สุด หลังจากที่เราผละกันออกมาสักพักเขาก็กล่าวออกมาและทิ้งมีดลงบนพื้น พร้อมกับก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้
“คุณอาจจะยังไม่ทราบ…ผมได้รับตรานี้มาเพราะเอาชนะคนของคุณเบนซ์ได้”
“คนที่คุณเบนซ์ฝึกฝนมาด้วยตัวเอง” ผมกล่าว เพราะสีหน้าของคุณเบนซ์ที่ผมเอาชนะลูกน้องของเขาไปอย่างง่ายดาย มันทำให้เขาหน้าเสียเล็กน้อย แต่เขาก็ดีใจที่จะได้คนเก่งอย่างผมเข้ามาร่วมในบริษัท
“ห้ะหะ!?” ทุกคนตกใจมากเมื่อพูดถึงคุณเบนซ์ ชื่อเสียงของเขาในกองทัพไม่มีใครไม่รู้จัก ยิ่งเบนซ์ที่พูดแล้วมีอำนาจที่สุดก็คือคุณเบนซ์เจ้าของ Supreme
“ผมไปก่อนนะครับ” ผมกล่าวก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาและเข้าไปดูค่าเงินในพอร์ต หลังจากที่ผมปิดออเดอร์ไปช่วงเย็น ตอนนี้ช่วงค่ำผมทำกำไรไปได้อีกหนึ่งล้านเจ็ดแสนบาท
“สวัสดีครับๆ” ผมยกมือขึ้นมาไหว้ทุกคนในห้องฝึกซ้อมก่อนจะเดินออกไปจากห้องปล่อยให้ทุกคนยืนนิ่งไปอยู่อย่างนั้น และผมก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปส่งพี่ส้มว่าผมมาฝึกฝนกับทหารหน่วยรบพิเศษ
“ผมจะโทรหาคุณทีอยู่พอดีเลยครับ” อีกฝ่ายกล่าว ซึ่งในตอนนี้ผมกลับห้องมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก็มีพี่เอมนอนรอผมอยู่
“สวัสดีครับ…พอดีว่าผมอยากจะให้คุณเบนซ์มาเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทของผมครับ” ผมกล่าว ซึ่งคุณเบนซ์ก็เงียบไปสักพัก
“ผมต้องตอบตกลงหรือเปล่ากับคนที่พูดถึงผมเสียๆหายๆ” คุณเบนซ์กล่าวตอบกลับมา ทำให้ผมนึกถึงเรื่องในห้องฝึกซ้อมของสถานีตำรวจ ว่ามันมีกล้องตัวหนึ่งที่ขยับไปขยับมาอย่างแปลกๆ
“ฮ่าๆ…ก็ถ้าผมไม่ทำแบบนั้นพวกหน่วยรบพิเศษคงจะจิตตกกันน่าดูสิครับ” ผมกล่าวก่อนจะเงียบเพื่อรอคำตอบของคุณเบนซ์
“ได้สิ…วันไหนล่ะ?” เมื่อคุณเบนซ์ตอบกลับมามันทำให้ผมโล่งใจไม่น้อย เพราะถ้ามีคุณเบนซ์อยู่ ทุกๆอย่างมันจะดำเนินการไวขึ้นมากแน่ๆ และเราจะมีแบ็คหลังค่อยช่วยเหลืออยู่ตลอด
“วันพรุ่งนี้ผมจะขึ้นกรุงเทพครับ…แล้ววันถัดไปผมจะติดต่อไปช่วงเที่ยงครับ”
“คุณเบนซ์ไม่ต้องห่วงนะครับ…ผมมีนักข่าวมากความสามารถ”
“ผมจะช่วยนำเสนอกิจการของคุณเบนซ์อย่างสม่ำเสมอครับ” ผมกล่าวออกไปทำให้คุณเบนซ์หัวเราะตอบกลับมา
“เอาสิๆ…ไว้ติดต่อมานะ” คุณเบนซ์กล่าวและดูเหมือนเขาจะสนใจไม่น้อย
“ขอบคุณครับ…สวัสดีครับ” ผมกล่าวก่อนที่คุณเบนซ์จะตัดสายผมไป
“แม่…เดี๋ยวพรุ่งนี้ทีขึ้นไปหาครับตอนค่ำ”
“วันถัดไปเราไปจดบริษัทกันครับ” ผมกล่าวก่อนจะอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ให้ฟัง ว่าเรามีผู้ถือหุ้นครบ 3 คนแล้ว นั่นก็คือผม แม่และคุณเบนซ์
8 : 00
“ง่วงอ่าา” ผมกล่าวด้วยความงัวเงียเมื่อพี่เอมพยายามปลุกผมให้ไปเข้าปฐมนิเทศ
“ไปเช็คชื่อก่อน…เดี๋ยวจะมีปัญหาทีหลังนะ” พี่เอมกล่าวพร้อมกับพยายามผลักร่างของผม
“พี่หอมแก้มก่อนจะลุกขึ้นเลย” ผมกล่าวก่อนจะเปิดตาข้างขวาขึ้นเพื่อดูว่าพี่เอมจะทำอะไร ซึ่งพี่เอมก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มของผมจริงๆ และผมก็หันกลับไปหอมพี่เอมกลับเช่นกัน
“สดชื่นน” ผมกล่าวก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง และเราทั้งสองก็ไปแปรงฟันกันหน้ากระจก แต่พี่เอมก็ยังไม่ได้อาบน้ำ เธอคิดจะนอนเล่นที่ห้องของผมไปจนกว่าผมจะกลับ ซึ่งโดยปกติแล้วพี่เอมไม่ค่อยกินข้าว เธอกินวันละมื้อซะด้วยซ้ำ แต่หลังๆมานี้เธอกินครบสามมื้อเพราะต้องไปกับผม
ผ่านไป 20 นาที
“ใส่ชุดนึกศึกษาแล้วหล่อมาก” พี่เอมกล่าว ซึ่งพี่เอมก็กำลังใช้โทรศัพท์ถ่ายคลิปผมที่กำลังแต่งตัวอยู่ และโดยปกติแล้วผมจะไม่แต่งอะไรแบบนี้หรอก ผมจะใส่กางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบไปมหาลัย แต่เพราะวันนี้จะมีการถ่ายรูปทำบัตรนึกศึกษาด้วย ผมจึงต้องแต่งตัวไปเรียบร้อยเสียหน่อย
“การเงินมีปัญหาใส่ชุดนึกศึกษามาหาพี่แล้วครับ” ผมกล่าวก่อนจะสวมนาฬิกา Rolex สายขาวหน้าปัดสีฟ้าไว้ที่ข้อมือข้างซ้าย และสวมสร้อยข้อมือทองคำหนักสองบาทไว้ที่ข้อมือข้างขวา โดยที่ของพวกนี้ผมแวะซื้อระหว่างไปกินข้าวกับทูไนท์และไทม์
“ปากดีมาก…ดูของที่ตัวเองใส่ซะก่อน!” พี่เอมกล่าวด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเริ่มพิมพ์อะไรบางอย่างลงไปในโทรศัพท์ และสักพักโทรศัพท์ของผมก็มีเสียงแจ้งเตือนขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นพี่เอมแท็กผมลงสตอรี่เพื่อนสนิท
“ไปก่อนนะครับ” ผมกล่าวซึ่งพี่เอมก็เดินมาหาผมหน้าประตูห้อง เธอกอดผมและผมก็กอดเธอพร้อมกับผมที่เปิดประตูออกจากห้องไป โดยในวันนี้ผมจะขับ BMW ไปมหาลัย ซึ่งอาคารที่เราจะไปก็คือาคารเรียนรวมห้า และวันนี้คณะสารสนเทศศาสตร์ก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตา โดยเฉพาะปีหนึ่งและปีสอง เพราะหลังจากถ่ายรูปทำบัตรนักศึกษากันเสร็จ รุ่นพี่จะเรียกไปทำความรู้จักกันต่อ
บรื้นน
ผมได้ขับรถมาจอดที่ข้างหน้าทางเข้าตึก ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่ค่อยมีเด็กมหาลัยขับรถยนต์มาเรียนกันสักเท่าไหร่ แต่ถ้าจำไม่ผิดปีหนึ่งสาขาผมจะมีอยู่คนหนึ่ง และคนคนนี้ก็เป็นเพื่อนที่ผมสนิทมากที่สุดในสาขา และข้างล่างตึกในตอนนี้แทบจะไม่มีใครอยู่่เลย เพราะพวกเขากำลังนั่งฟังปฐมนิเทศกัน ส่วนผมก็น่าจะเป็นคนเดียวที่เพิ่งมาถึงในเวลา 9 โมงครึ่ง
“ไร้สาระฉิบ” ผมสบถระหว่างออกมาจากรถและเดินไปที่คาเฟ่อเมซอน
ฟึบ
“ชาเขียวเย็นแก้วนึงครับ” ผมกล่าวก่อนจะไปนั่งรอที่โต๊ะ ซึ่งในร้านก็ยังมีผมนั่งอยู่คนเดียวเหมือนเดิม
“เหี้ยละไง” ผมกล่าวออกมาเมื่อเห็นอาจารย์ที่ปรึกษาปีผมกำลังเดินตรงมาที่อเมซอน แต่ผมก็ไม่ได้หลบหน้าแม้แต่น้อย
“สวัสดีครับอาจารย์” ผมเป็นคนกล่าวทักทายอาจารย์ก่อน และเมื่อาจารย์เห็นหน้าผม ดูเหมือนเขาก็กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างเช่นกัน
“อาจารย์ช่วยดูเอกสารนี้นิดนึงได้ไหมครับ”
“พอดีแม่ของผมกำลังจะเปิดบริษัทเดี๋ยวคืนนี้ผมต้องบินไปกรุงเทพ” ผมกล่าวก่อนจะหยิบซองเอกสารออกมาจากกระเป๋าเป้ ซึ่งที่จริงแล้วผมก็กะจะเอามันมานั่งอ่านในห้องนี่แหละ แต่ดันเจออาจารย์ซะก่อนก็เลยลองเอามาเป็นข้ออ้างดู
“โอ้…บริษัทเกี่ยวกับอะไรเหรอที?” อาจารย์กล่าวก่อนจะเหลือบไปมองเลสทองคำและนาฬิกาหรูของผม ซึ่งเขาก็ได้สั่งอเมริกาโน่เย็นไปก่อนจะเดินมานั่งตรงข้ามผม
“เกี่ยวกับสื่อออนไลน์ครับอาจารย์” ผมกล่าวก่อนจะยื่นซองเอกสารให้อาจารย์ ซึ่งเอกสารนี้ผมก็ได้สั่งปริ้นไว้เมื่อคืน ตอนเช้าตื่นมามันก็ปริ้นออกมาครบเจ็บสิบกว่าหน้าพอดี และมันมาจากแม่ของผมที่ให้เพื่อนฝ่ายกฏหมายช่วยทำขึ้นมาให้ โดยผมก็โอนค่าเหนื่อยไปให้แม่ และแม่ก็โอนต่อไปให้เพื่อนคนนั้นเกือบแสนบาท เพราะมันเป็นงานเร่งในเวลาสองวัน ซึ่งยังดีว่าเพื่อนของแม่เก่งมากๆและยังมีทีมกฏหมายของตัวเองด้วย ทำให้งานออกมาไวสุดๆ
“น่าสนใจมากครับ…ทำหลายอย่างเลยนะ”
“เดี๋ยวสิ…จะมีผลิตภัณฑ์ด้วยเหรอ”
“โอ้ๆๆ” อาจารย์อ่านคร่าวๆและกล่าวออกมา ซึ่งสีหน้าของอาจารย์แสดงถึงความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“บริษัทชื่อคาร์บอน…เป็นชื่อที่ดีนะ” อาจารย์กล่าวก่อนที่น้ำที่ผมและอาจารย์สั่งจะมาเสริฟพร้อมกัน
“เดี๋ยวเราต้องไปเข้าปฐมนิเทศกัน…ค่อยคุยกันนะ”
“อาจารย์มีนักศึกษาแนะนำให้อยู่” อาจารย์กล่าวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนลงมาผ่อนคลาย สักพัก
“ครับอาจารย์…ขอบคุณครับ” ผมกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะรับเอกสารคืนมาและใส่ไว้ในกระเป๋าเป้เช่นเดิม
“น่าสนใจมากเลยนะที”
“ครูคิดว่าเราทำได้แน่…ช่วงพักเที่ยงไปทานข้าวกันนะครับ” อาจารย์กล่าวก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในห้อง ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบรับ และผมก็เดินตามหลังอาจารย์เข้าไปเช่นกัน ซึ่งในห้องโถงขนาดใหญ่มันก็มีที่นั่งเหลือไม่มากแล้ว และเพื่อนคนนั้น คนที่ผมกล่าวว่าสนิทมากที่สุดหลังจากจบปีสี่ เพราะมันให้ใจผม ผมก็ให้ใจมัน เรียกได้ว่าไม่ทรยศกัน ไม่ด่ากันลับหลังจริงๆ ซึ่งระหว่างทางเดินก็มีเพื่อนๆหลายคนที่จ้องมองผม และส่วนใหญ่จะจ้องไปที่ตาข้างขวาของผมที่เป็นสีฟ้า
“นั่งด้วยนะ” ผมกล่าว ซึ่งโดยปกติวันแรกที่เจอกัน ทุกคนยังคงปลีกตัวออกจากกันและนั่งกับเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่มัธยม
“ได้ๆ…เราชื่อเพชรนะ” เพชรกล่าวทำให้ผมยกยิ้มออกมา
“เราชื่อที…ที่แปลว่าชาน่ะ” ผมกล่าวก่อนหัวเราะออกมาเล็กน้อย ซึ่งเมื่อนั่งลง ผมก็หยิบเอกสารขึ้นมาอ่านทันที โดยที่อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรผม
“ขอกินน้ำหน่อยได้ไหมเพื่อน?” เพชรกล่าวถามตรงๆ เมื่อผมหันไปดู ปากของเขาแห้งมาก
“เอาสิ…ดื่มเลยๆเราดื่มมาจนมันจี๊ดสมองล่ะฮ่าๆ” ผมกล่าวก่อนจะหยิบแก้วชาเขียวและยื่นให้กับเพชร เมื่อเพชนรับแก้วไปเขาก็พยายามดูดช้าๆและน้อยๆ
“เอาน้ำเปล่าไหมเรามี” ผมกล่าวก่อนจะหยิบน้ำเปล่าออกมาสองขวดในกระเป๋า ขวดหนึ่งของผมส่วนอีกขวดผมเอามาเผื่อ และผมคิดว่าจะเข้าหาเพชรตั้งแต่วันแรกนี่แหละ
เพราะในชีวิตก่อนเพชรมันถูกเอาเปรียบมามากมาย เพราะมันเป็นคนยังไงก็ได้ อะไรก็ยอม และเพื่อนส่วนมากที่มันมีก็จะหวังเรื่องใช้รถของมัน มันก็ปฏิเสธคนไม่เป็นก็ยอมตอบรับตลอด และจุดเปลี่ยนก็มาถึง ในวันที่ผมเข้าโรงพยาบาล ไม่มีใครไปกับผมสักคน ผมขอเพียงแค่เพื่อนคนเดียว เพราะผมขับรถไปไม่ไหว ผมก็เลยส่งข้อความไปหาเพชร และก็บอกว่าขับรถผมไปหน่อย เพราะมันจะมีเรื่องน้ำมันที่ต้องเสียอีก แต่เพชรมันก็เอารถยนต์มารับผมเลย และนั่งรอผมจนถึงตีหนึ่งตีสองซะด้วย
หลังจากนั้นแหละสนิทกันยาว