บทที่ 5
ไรรีย์ไม่เคยมั่นใจกับการค้นหาความจริงเช่นนี้มาก่อน
หลังจากเธอตัดสินอยู่หมู่บ้านทากิซต่อ ไม่กลับไปรวมกับกลุ่มทัวร์ ซากีย่าก็มีอาการดีอกดีใจ และบอกกับไรรีย์ว่าบ้านของเธอไม่ได้ต้อนรับแขกมานานมากแล้วนับตั้งแต่สูญเสียพ่อแม่ บ้านนี้จึงมีเพียงเธอกับพี่ชาย แต่พี่ชายของเธอดันมีนิสัยที่ไม่อยู่ติดที่ นานครั้งจะกลับเข้าบ้าน ดังนั้น ซากีย่าจึงต้องอยู่คนเดียว...
เมื่อฟังซากีย่าพูดถึงตรงนี้ ไรรีย์เข้าใจได้ทันทีว่าซากีย่าต้องการเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเพื่อพูดคุย แต่ก่อนอื่น เธอต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขก
“ไรรีย์จะอยู่นานแค่ไหนก็อยู่ได้นะ ตามใจไรรีย์เลย” ซากีย่าเอ่ยขึ้นขณะหมุนซ้ายขวาอยู่หน้าเตาทำอาหาร และมีท่าทางกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
ไรรีย์นั่งเท้าคางบนโต๊ะในครัว มองซากีย่ายุ่งง่วนกับการเตรียมอาหารเช้า
“ความจริง ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่นานแค่ไหน อาจจะจนกว่าปริศนาคลี่คลายก็ได้”
ตอนเช้า หลังจากไรรีย์บอกซากีย่าว่าจะขอรบกวนอีกสักพัก ซากีย่ายิ้ม และไม่ได้ถามเธอว่าทำไม แต่ไรรีย์เป็นฝ่ายเล่าเรื่องความฝันประหลาดให้ซากีย่ารับรู้ รวมถึงบทสนทนาระหว่างเธอกับผู้เฒ่ามาซซาร์เมื่อคืนด้วย
อาจเพื่อหาเหตุผลการอยู่ต่อละมั้ง ไรรีย์คิดอย่างขบขัน
แต่เมื่อซากีย่าฟังเรื่องราวของเธอจนจบเธอพูดเพียงว่า “แปลกจัง แต่ไรรีย์คิดถูกแล้วที่มาที่นี่และเลือกอยู่ต่อ บางทีเรื่องประหลาดนี้อาจเริ่มต้นและจบที่นี่”
ตอนนั้น ไรรีย์เพียงยิ้ม เธอเองก็เห็นด้วยที่เลือกออกเดินทางตามคำแนะนำของซีน่า...
ซากีย่าหมุนตัวกลับมาวางจานขนมปังบนโต๊ะ หันกลับไปที่หน้าเตาอีก ก้มหน้าทำอาหารพร้อมบอกว่า
“ผู้เฒ่ามาซซาร์อาจให้คำตอบเธอได้ ไรรีย์ อ๋อ จริงสิ เมื่อคืนเธอฝันเห็นซาฮินคนนั้นอีกหรือเปล่า”
“ไม่เลย” ไรรีย์ส่ายหน้า เมื่อคืนเธอไม่ได้ฝันเห็นซาฮิน แต่เธอรับรู้ด้วยจิตวิญญาณว่าเขากำลังจ้องมองเธอจากที่ไหนสักแห่งบนผืนทรายแห่งนี้ หรืออาจจะไม่ไกลจากหมู่บ้านทากิซเลยก็ได้
“ดีแล้วละ”
“ซากีย่า เธอเตรียมอาหารไว้สำหรับสามคนเหรอ”
ไรรีย์ยืดตัวนั่งหลังตรงเมื่อซากีย่าเตรียมอาหารจนครบ และเธอเพิ่งรู้ว่าซากีย่าเตรียมที่นั่งไว้สำหรับสามคน ทั้งที่ในห้องครัวมีกันแค่สองคนเท่านั้น ไรรีย์มองขนมปังสามจาน เนื้อแกะย่างสามจาน และนมเปรี้ยวอีกสามแก้ว นอกนั้นคือผักและผลไม้แห้งตั้งไว้ส่วนกลางของโต๊ะอาหาร
“อ๋อ ใช่ ฉันเตรียมไว้สำหรับพี่มาเอล แต่เขาอาจมาหรือไม่มาก็ได้” ซากีย่าว่า “พี่มาเอลก็เป็นแบบนี้ ไรรีย์ไม่ต้องสนใจหรอก ฉันเตรียมเผื่อพี่มาเอลทุกวัน เราทานอาหารเช้ากันสองคนก่อนได้เลย”
ไรรีย์พยักหน้า จากนั้นยกแก้วนมเปรี้ยวขึ้นดื่ม
ตอนนั้นเอง ผู้ชายสวมชุดดำคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องครัว เขาสูงเกือบเท่าประตู ใบหน้าคมเป็นสัน จมูกโด่ง คิ้วหนา ตาคมฉายรอยดุ ริมฝีปากบางหยักได้รูป บนศีรษะมีผ้าสีดำโพกไว้คล้ายชาวอาหรับ
ไรรีย์รู้จักผ้าคลุมศีรษะของชาวอาหรับ เพราะฉะนั้น ผ้าโพกศีรษะของเขามีไว้สำหรับกันฝุ่นและลมธรรมดาๆ ที่สำคัญ ตอนเขายื่นมือออกมาหยิบแก้วนมเปรี้ยวขึ้นดื่มอึกใหญ่ ไรรีย์รับรู้ได้ว่ารอบตัวของเขาเหมือนมีพลังงานบางอย่าง...พลังงานแห่งการกดดัน
ตั้งแต่เขาเข้ามาในครัว เหมือนบรรยากาศในห้องถูกกดทับทันที ซากีย่าอาจไม่รู้ แต่เธอที่เป็นคนนอกสัมผัสถึงความรู้สึกนั้นได้ดีเชียวละ
หญิงสาววางแก้วนมลงบนโต๊ะ ดวงตายังคงมองชายหนุ่มที่ยืนดื่มนมตรงหน้า แค่เห็นดวงตาก็รู้ว่าเขาคือคนบนหลังม้าที่ฉวยเธอมาจากทะเลทราย แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับพบว่าดวงตาของเขาเหมือนซาฮิน...ชายในความฝันที่ตวาดกร้าวใส่เธอ
“คุณ?” ไรรีย์ลุกขึ้นยืนช้าๆ จ้องหน้าชายตรงหน้าขณะตั้งข้อสงสัย “คุณตามฉันมา คุณพาฉันไปทิ้งไว้กลางทะเลทราย ซาฮิน นั่นชื่อของคุณใช่ไหม”
ฮิลมาเอลมองไรรีย์ตลอดการดื่มนม ต่อเมื่อนมในแก้วหมดแล้ว เขาถึงวางมันลงบนโต๊ะ ปาดริมฝีปากด้วยนิ้วโป้ง แต่ก็ยังไม่ละสายตาไปจากเธอ หรือตอบคำถามใดๆ
“มีอะไรหรือเปล่า” ซากีย่ามองไรรีย์สลับกับพี่ชาย และหันมาถามเธออย่างสงสัย “พี่มาเอลทำอะไรไรรีย์อย่างนั้นเหรอ แต่...เดี๋ยวนะ พี่ชายฉันชื่อฮิลมาเอล ดิลลาเม็ค ไม่ใช่ซาฮิน คนในความฝันของเธอนะไรรีย์!”
ฮิลมาเอลยกมือชี้ขึ้นบนหัวและมองซากีย่า เป็นคำพูดไร้เสียงทำนองว่า ‘บ้า’
แน่นอนว่า ไรรีย์ย่อมรู้ความหมายที่เขาสื่อกับซากีย่า เธอขมวดคิ้วบอก
“ฉันไม่ได้บ้านะ และไม่ได้เป็นโรคประสาทด้วย”
ราวกับไม่ต้องการเสียเวลากับหญิงสาว ฮิลมาเอลยักไหล่ หยิบขนมปังในจานแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องครัว และปล่อยให้ไรรีย์มองตามอย่างสับสน
“พี่มาเอล” ซากีย่าพูดไล่หลัง “ค่ำนี้มีนัดเลี้ยงต้อนรับไรรีย์ พี่มาให้ได้นะ”
ฮิลมาเอลไม่ตอบ และไม่ได้หันหน้ามามอง แต่ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณของการรับรู้เพียงแค่นั้น แล้วออกจากบ้านไป
เห็นท่าทางไม่ต้อนรับแขกของฮิลมาเอล ไรรีย์เริ่มรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้คบยาก เธอทิ้งตัวนั่งลงดังเดิม มือกุมขมับ ก่อนจะรับประทานอาหารเช้ากับซากีย่าด้วยอารมณ์คุกรุ่น
“เขาชื่อฮิลมาเอลอย่างนั้นสินะ” ไรรีย์ถามอย่างสับสน
“ใช่แล้วจ้ะ” ซากีย่ายิ้มระรื่น คล้ายภูมิใจในตัวพี่ชายของเธอนักหนา
หลังอาหารเช้า ซากีย่าพาไรรีย์เดินเท้ามายังกระท่อมของผู้เฒ่ามาซซาร์ แต่เมื่อมาถึงหญิงสาวต้องพบกับความผิดหวังเมื่อผู้เฒ่ามาซซาร์ไม่ได้อยู่ในกระท่อม ทว่า ซากีย่าฝากบอกหลานชายของผู้เฒ่ามาซซาร์ว่าค่ำนี้มีเลี้ยงต้อนรับไรรีย์ เธอเชิญทุกคนในบ้านของผู้เฒ่าไปรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน และเพื่อไม่ให้เสียเวลา ซากีย่าพาไรรีย์เดินชมความสวยงามของทุ่งหญ้า และสวนเกษตรของหมู่บ้าน
ทุกอย่างที่นี่สงบเงียบ สวยงาม ไรรีย์ยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเป็นระยะ เมื่อแบตเตอรี่กล้องใกล้หมดแล้ว จึงนึกถึงกระเป๋าเดินทางของเธอที่ทิ้งไว้ในโรงแรม หญิงสาวรีบกดเบอร์โทร.หาไกด์อีกครั้ง เมื่อคืนเธอดีใจเมื่อพบว่าผู้เฒ่ามาซซาร์อาจช่วยไขปริศนาของฝันร้ายยาวนานของเธอได้ จึงลืมนึกถึงของสัมภาระส่วนตัวมากมายที่นำมาด้วย
ต่อเมื่อคุยกับไกด์รู้เรื่องแล้ว ฝ่ายนั้นบอกว่ากระเป๋าเดินทางของเธอฝากไว้ที่โรงแรมหลี่เอี๋ยงในเมืองอุรุมซี
“ไกด์บอกว่าจะเอากระเป๋าของฉันไปฝากไว้ที่โรงแรมหลี่เอี๋ยงใน
อุรุมซี ซากีย่า ฉันจะไปที่นั่นได้ยังไง หากมีรถสักคันละก็ฉันอาจเปิดจีพีเอสได้” ไรรีย์เก็บโทรศัพท์ จากนั้นหันไปบอกซากีย่าและขอความช่วยเหลือ
ซากีย่ายิ้มบอก “เมืองอุรุมซีห่างจากเมืองทากิซไปไม่ไกล แต่ว่าไรรีย์ รถคันเดียวของที่บ้าน พี่มาเอลขับออกไปแล้ว ดูเหมือนกลับมาอีกทีคงช่วงเย็น เธอต้องรอพี่มาเอลแล้วละ”
ความจริงไรรีย์อยากถามว่าในหมู่บ้านยังมีคนอื่นที่สามารถพาเธอเข้าเมืองอุรุมซีได้อีกไหม แต่เธอคิดว่าเธอรบกวนซากีย่ามากพอแล้ว ดังนั้นจึงตัดใจเรื่องสัมภาระ และบอกฝ่ายนั้นว่า
“ช่วงเย็นก็ได้”
ก็แค่ทางโรงแรมคิดเงินเพิ่มสำหรับค่าฝากของ ไรรีย์คิด อย่างไรเสีย ค่าถ่ายรูปที่เธอได้รับมากพอสำหรับอยู่เที่ยวในซินเจียงถึงหนึ่งเดือน
หญิงสาวทั้งสองเดินชมหมู่บ้านทากิซอีกพักใหญ่
สวนองุ่น คอกปศุสัตว์ ทุ่งหญ้า ดอกเรพซีดสีเหลืองสะพรั่งตัดกับท้องฟ้าสีครามสด ซากีย่ายังบอกอีกว่ามีทะเลสาบอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ แต่ทว่าก็ไม่สะดวกสำหรับการเดินเท้า อย่างน้อยต้องมีม้าหรือลา
พูดคุยและเที่ยวชมจนเกือบลืมเวลา ซากีย่าก็ขอตัวกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหารสำหรับจัดเลี้ยงเย็นนี้ ดังนั้น ไรรีย์จึงตามกลับบ้านด้วย
เดิมที ไรรีย์บอกกับซากีย่าว่าไม่จำเป็นต้องจัดเลี้ยงต้อนรับเธอ แต่ซากีย่าอธิบายว่าวัฒนธรรมของหมู่บ้านทากิซมาจากชนเผ่าเร่ร่อน การมีแขกมาเยือนถือว่าเป็นเรื่องพิเศษของเจ้าบ้าน และการจัดเลี้ยงต้อนรับก็เป็นการแสดงถึงความมีอัธยาศัยที่ดีต่อแขกนั่นเอง
ตลอดบ่ายของวันนั้น ซากีย่าเตรียมอาหารสำหรับจัดเลี้ยงมากมาย และสถานที่สำหรับดื่มกินคือลานกว้างข้างบ้าน บนพื้นดินทราย ซากีย่าปูผ้าสักลาดลวดลายฉูดฉาดผืนหนาและเตรียมเบาะรองนั่ง สุดท้ายโต๊ะตัวเตี้ยสำหรับวางอาหารหกที่
กระทั่งช่วงหัวค่ำ ผู้เฒ่ามาซซาร์และหลานชายมาถึงบ้าน ตามมาด้วยผู้สูงวัยบ้านใกล้เคียง และฮิลมาเอล...คนที่ไรรีย์คิดว่าจะไม่มา แต่ที่นี่คือบ้านของเขา เขาจะไม่มาได้อย่างไรล่ะ
คนมาร่วมกินเลี้ยงมีไม่มาก ที่มาล้วนนามสกุลดิลลาเม็คและผู้อาวุโสในหมู่บ้านเท่านั้น
ซากีย่ายกอาหารออกมาวางบนโต๊ะ อย่างแรกคือซุปเนื้อแกะผสมข้าวเรียกว่าซอร์ปา เนื้อวัวทอดชิ้นสี่เหลี่ยมเรียกว่ากูตัป ตามมาด้วยเกี๊ยวยัดไส้เนื้อแกะ โดนัททอด ขาแกะตุ๋น ผักสด ขนมปัง นมเปรี้ยวหมักผสมแอลกอฮอล์อ่อนๆ สุดท้ายก็คือน้ำชา
ที่นั่งของไรรีย์ตรงข้ามกับฮิลมาเอล หญิงสาวไม่สนใจฝ่ายตรงข้าม อาหารทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเธอ นั่นทำให้น้ำลายสอ
ซากีย่าเก่งการทำอาหาร ไม่เพียงหน้าตาของอาหารน่ารับประทาน อาหารทุกจานยังอร่อยถูกปากที่สุด ที่ไรรีย์รู้เพราะเธอขอ
ซากีย่าชิมตั้งแต่ในครัวก่อนแล้ว
ไรรีย์ยกนมเปรี้ยวผสมแอลกอฮอล์ขึ้นดื่ม รสเปรี้ยวมันและกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ผสมผสานอยู่ในปาก หญิงสาวมั่นใจว่าแอลกอฮอล์ในนมเปรี้ยวไม่ทำให้เธอเมา ทว่าเพียงดื่มอึกแรก ตาเธอก็พร่าลาย ภาพปัจจุบันเลือนรางและมัว โดยเฉพาะฮิลมาเอล ใบหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชายอีกคนที่ดูทรงอำนาจ
ซาฮิน!?
นั่นคือความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของไรรีย์ หญิงสาวขยี้ตา และเบิ่งตากว้างขึ้น แต่รอบตัวเธอไม่เหมือนเดิม...ภาพปัจจุบันและอดีตซ้อนทับกันจนน่าตกใจ