โองการสมรส
วันต่อมาภายใต้การดูแลของหงเอ๋อร์และหลิวกงหยวน ชีวิตของจางเหม่ยอิงได้เริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้เธอหลุดขำในใจได้อยู่บ่อยๆ หงเอ๋อร์ที่สอนการเย็บผ้า ก็ถึงกับทำหน้าตกใจเมื่อจางเหม่ยอิงทำเข็มหลุดมือจนปักนิ้วตัวเอง
“โอ๊ย! เจ็บ!” จางเหม่ยอิงรีบโวยวายขึ้น ขณะที่หงเอ๋อร์วิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ
“คุณหนูระวังหน่อยเจ้าค่ะ!” หงเอ๋อร์รีบหยิบผ้าพันแผลมาอย่างรวดเร็ว “ท่านเคยเย็บปักถักร้อยเก่งกว่า นี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
จางเหม่ยอิงหัวเราะเบา ๆ “ข้าแค่... ข้าจำไม่ได้ว่าน่ะต้องเย็บมันอย่างไร”
พลางแอบคิดในใจว่า ‘ฉันน่ะมือใหม่จริงๆ ก็เพราะไม่เคยเย็บผ้ามาก่อนเลยต่างหากล่ะ!’
ส่วนหลิวกงหยวนก็แนะนำประวัติครอบครัวและขนบธรรมเนียมในบ้านให้เธอฟัง แต่จางเหม่ยอิงกลับนั่งฟังด้วยสีหน้างุนงง ทำเอาพ่อบ้านถึงกับกลอกตา
“คุณหนู… อย่าได้ลืมเป็นอันขาดว่าท่านเป็นบุตรสาวคนที่สามของเสนาบดีจางซวนหลงนะขอรับ เวลาอยู่ต่อหน้าคนท่านต้องรักษากิริยาให้เหมาะกับชนชั้นขุนนาง”
จางเหม่ยอิงพยักหน้ารับ “โอเคๆ เอ่อ ได้ ข้าจะฟัง…แต่ว่ามันก็เยอะจังนะกฎเกณฑ์ของที่นี่”
เธอทำท่ากุมขมับแกล้งทำเป็นเหนื่อย หงเอ๋อร์ที่เห็นเข้าก็อดยิ้มขำไม่ได้ คุณหนูของนางในตอนนี้ดูสดใสมากกว่าก่อนอยู่มากโข ถึงแม้จะชอบพูดจาแปลกๆก็ตามที
ในห้องหนังสือของจวนตระกูลจาง จางเหม่ยอิงนั่งอยู่ท่ามกลางกองตำราหลายเล่มที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ โดยมีหงเอ๋อร์นั่งให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ทั้งยังคอยช่วยหยิบจับหนังสือและเก็บให้เข้าที่
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา จางเหม่ยอิงได้ทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนรู้วัฒนธรรมและประเพณีของยุคนี้อย่างจริงจัง เธอได้พบว่าความรู้ด้านภาษาจีนโบราณที่เคยเรียนกับอาจารย์หวังในอดีตกลับกลายมาเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
แม้ว่าภาษาจีนโบราณกับยุคปัจจุบันนั้นอาจจะมีคำที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่จางเหม่ยอิงก็สามารถเข้าใจเนื้อหาในตำราได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้หงเอ๋อร์อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะก่อนที่คุณหนูจะป่วยและฟื้นขึ้นมานั้น เธอไม่เคยสนใจตำราใดๆ เลย ดูจะชื่นชอบการเย็บปักถักร้อยและการทำขนมเสียมากกว่า
"คุณหนูของบ่าวเก่งมากเจ้าค่ะ!" หงเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงทึ่งพลางยิ้มภูมิใจ
"ข้าก็แค่พยายามเข้าใจให้มากที่สุด เพราะหากจะต้องอยู่ในที่แห่งนี้อย่างราบรื่น ข้าก็ต้องเรียนรู้ทุกอย่างให้เร็วที่สุด... ข้าไม่อาจเสียเวลาได้แม้สักชั่ววินาที"
พูดจบเธอก็ก้มลงอ่านตำราอีกครั้ง ชั่วขณะหนึ่งจางเหม่ยอิงกลับเผลอคิดถึงอาจารย์หวังที่สอยเธออ่านตัวจีนโบราณ น้ำตาก็ไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว
“ป่านนี้อาจารย์จะเป็นอย่างไรบ้างนะ…” เธอพึมพำกับตัวเองอย่างเศร้าๆ แม้จะรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมาอยู่ตรงนี้กับเธอ
ทันใดนั้น เสียงประตูห้องดังขึ้นและหวงเจียซินก็ก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม จางเหม่ยอิงรีบปาดน้ำตาแล้วหันไปยิ้มรับ
“อ่านตำราเยอะไปแล้วนะลูกแม่ เจ้าจะต้องดูแลสุขภาพตัวเองดีๆ การพักฟื้นมันสำคัญกับเจ้ามากนะ อย่าหักโหมนัก” หวงเจียซินพูดพลางนั่งลงข้างเตียง
“ขอบคุณท่านแม่” จางเหม่ยอิงตอบกลับ แม้จะยังไม่คุ้นชินกับการเรียกหญิงผู้นี้ว่า ‘แม่’ แต่เธอก็พยายามแสดงออกให้เหมือนกับว่าตนนั้นรักครอบครัวนี้มาก
หวงเจียซินจับมือลูกสาวไว้เบาๆ
“ลูกอาจจะจำเรื่องราวอะไรไม่ได้ แต่แม่คิดว่าแม่ควรบอกลูกเรื่องสำคัญเรื่องนี้…ถึงลูกจะความจำเสื่อมไปแล้ว แต่ราชโองการแต่งงานของเจ้ากับองค์ชายสาม หวังกู้หย่ง ยังต้องเป็นตามเดิม ตระกูลของเรานั้นไม่สามารถขัดราชโองการของฝ่าบาทได้”
“ราชโองการแต่งงาน? ลูกต้องแต่งงานกับองค์ชาย…จริงหรือเจ้าคะ?”
หวงเจียซินพยักหน้าช้าๆ “เป็นความจริง ลูกต้องแต่งงานกับองค์ชายสาม หวังกู้หย่ง แต่…ความสัมพันธ์ของตระกูลจางเรากับครอบครัวฝั่งองค์ชายหวังกู้หย่งนั้นไม่ค่อยสู้ดีนัก มีเรื่องราวที่ซับซ้อนมากมายที่แม่ไม่อาจอธิบายได้หมดในเวลานี้ แต่สิ่งที่แม่จะขอคือให้เจ้าวางตัวอย่างเหมาะสม ลูกต้องไม่มีเรื่องผิดใจกับองค์ชายในตอนนี้”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
“ดีมาก ถ้าเจ้าได้กลับไปยังสำนักศึกษาในวังหลวง จำไว้ว่าควรทำตัวสงบเสงี่ยม ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องบาดหมางใดๆ และตั้งใจเรียนรู้เกี่ยวกับราชสำนัก เพราะในไม่ช้าเจ้าอาจจะต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมัน”