ลุกขึ้นสู้ 1/2
วันรุ่งขึ้น ระหว่างที่จางเหม่ยอิงกำลังเดินผ่านทางเดินใหญ่เพื่อจะเข้าสู่ห้องเรียนนั่นเอง
“เหม่ยอิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เห็นว่าอาการของเจ้าไม่ค่อยสู้ดีนัก?”
ผิงชิงเสียเดินเขามาทักมายพร้อมกับสหายของนางสองคน แม้คำถามจะดูเหมือนว่าพวกนางห่วงใย แต่หน้าตาท่าทางของพวกนางกลับบ่งบอกได้ว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“น่าสงสารเจ้าเสียจริง ขนาดป่วยหนักแท้ๆ แต่ทำไมองค์ชายสามถึงไม่ไปเยี่ยมเจ้าเลย เอาแต่เดินตามสหายของข้าทุกวัน” สหายอีกคนของผิงชิงเสียเสริม พร้อมรอยยิ้มที่ดูเหมือนยั่วเย้า
“ใช่แล้ว… เจ้าสบายดีจริงหรือ ที่เห็นองค์ชายสามเอาแต่ตามติดชิงเอ๋อร์แทนที่จะสนใจคู่หมั้นอย่างเจ้า” สหายอีกคนหนึ่งพูดขึ้น
จางเหม่ยอิงยิ้มเย็น นึกขบขันในใจว่าร่างเดิมทนให้คนอื่นเหยียดหยามแบบนี้มาตลอดได้อย่างไรทั้งๆ ที่ตนเองเป็นถึงบุตรสาวของเสนาบดีใหญ่
“ข้าไม่ถือสาหรอกที่องค์ชายไม่มาหาข้า เพราะจวนตระกูลจางของท่านพ่อไม่ค่อยถนัดต้อนรับเชื้อพระวงศ์เท่าไหร่” จางเหม่ยอิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ
“หากเป็นแขกรากหญ้าหรือคนที่ต่ำต้อยกว่านั้นอาจจะพอได้ต้อนรับอยู่บ้าง เพราะบิดาของข้าเป็นถึงเสนาบดีกรมยุติธรรม… อ้อ! ข้าลืมไปเสียสนิทเลย ชิงเอ๋อร์ ผ้าแพรที่เจ้านำมามอบให้ข้าที่จวนของท่านพ่อนั้น ข้าชอบมันมากนะ”
ผิงชิงเสียถึงกับหน้าเสียราวกับถูกตบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว จางเหม่ยอิงพูดต่อโดยไม่สนใจท่าทีของนาง
“ข้าชอบผ้าแพรที่เจ้ามอบให้ในวันนั้นยิ่งนัก ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์นึกถึงข้าอยู่เสมอ”
คำพูดนี้ทำให้ผิงชิงเสียถึงกับสะดุ้ง รู้สึกเหมือนจางเหม่ยอิงล่วงรู้ถึงเจตนาที่ซ่อนอยู่ในของขวัญชิ้นนั้น
ในขณะที่จางเหม่ยอิงกำลังสนทนากับผิงชิงเสียอย่างเผ็ดร้อน องค์ชายสามหวังกู้หย่งก็ปรากฏตัวขึ้น เขาก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงตาแข็งกร้าวและพูดเสียงเข้มใส่จางเหม่ยอิง
“บุตรสาวตระกูลจางผู้สูงส่งคิดจะพูดจาดูหมิ่นชิงเอ๋อร์ไปถึงไหนกัน? ใยเจ้าถึงได้ละทิ้งเวลารักษาสุขภาพของตัวเองมาเที่ยวระรานชาวบ้านเช่นนี้”
จางเหม่ยอิงเงยหน้ามององค์ชายสามอย่างไม่สะทกสะท้าน แววตาเย็นชา นางยิ้มบางๆ ให้กับเขา
“องค์ชายพูดเช่นนี้ หมายความว่าท่านยอมรับแล้วหรือไม่ว่าชิงเอ๋อร์เป็นเพียงชาวบ้านชนชั้นรากหญ้า? แต่ว่าข้าได้ยินเขาลือกันไปทั่วต่างบอกว่าองค์ชายชอบทำตัวติดพันสาวชนนั้นรากหญ้าผู้นี้อยู่ไม่ห่างเลยมิใช่หรือเพคะ”
คำพูดของจางเหม่ยอิงทำให้ทั้งหวังกู้หย่งและผิงชิงเสียถึงกับนิ่งอึ้ง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่องค์ชายสามเพื่อรอคอยปฏิกิริยาของเขา
จางเหม่ยอิงเพียงมองด้วยรอยยิ้มบาง นางเพียงกล่าวเรื่องที่เป็นความจริง หากพวกเขาอยากหาเรื่องนางก็เข้ามาเลย จางเหม่ยอิงคนนี้ไม่กลัวหรอก
“อิงเอ๋อร์ เจ้าจะว่าอะไรข้าไม่เป็นไร แต่องค์ชายเป็นถึงคู่หมั้นของเจ้า เจ้าจะพูดจาดูหมิ่นคู่หมั้นตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะ อีกไม่กี่เดือนเจ้ากับองค์ชายก็จะเข้าพิธีแต่งงานกันแล้ว”
ผิงชิงเสียพูดเสียงอ่อนแสร้งทำเป็นแม่นางแสนดี หวังจะเรียกความสงสารจากองค์ชายสามที่ยืนเคียงข้างนาง
“องค์ชายสามยังไม่พูดเลยว่าเขาไม่พอใจข้า แล้วเจ้าจะเดือดร้อนอะไรล่ะ ชิงเอ๋อร์ แต่ถ้าเกิดองค์ชายไม่พอใจนัก ก็ไปขอฝ่าบาทยกเลิกการแต่งงานเสียสิ พวกท่านอยากจะพลอดรักกันให้ชื่นใจก็เชิญ ข้าจะพูดตรงนี้แค่ครั้งเดียว ให้ฟ้าดินเป็นพยานว่าข้าไม่ได้มีความคิดที่อยากจะแต่งงานกับคนอย่างองค์ชายสาม”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนโดยรอบตกตะลึง ใครๆ ก็รู้ดีว่าจางเหม่ยอิงเคยรักองค์ชายหวังกู้หย่งอย่างหมดใจ แต่วันนี้นางกลับพูดอย่างไร้เยื่อใยแบบนี้ได้อย่างไรกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของจางเหม่ยอิง องค์ชายสามหวังกู้หย่งถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความประหลาดใจปนความโกรธที่ไม่สามารถซ่อนไว้ได้
เขาไม่เคยคาดคิดว่าจางเหม่ยอิงผู้ที่เคยรักและหลงใหลในตัวเขาอย่างหมดหัวใจ จะพูดออกมาอย่างไม่แยแสเช่นนี้ ราวกับการหมั้นหมายของพวกเขาไม่มีความหมายใดๆ
ความรู้สึกในใจของเขาสับสนไปหมด จากความเชื่อมั่นว่าจางเหม่ยอิงจะไม่มีวันกล้าต่อต้าน กลับกลายเป็นความรู้สึกเสียหน้าและถูกท้าทาย เขาขบกรามแน่น มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเย็นชา ทั้งโกรธและสงสัยว่าเหตุใดนางถึงเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้