ลุกขึ้นสู้ 2/2
“ใครกันที่ทำเสียงเอะอะโวยวายในเขตพระราชวัง” เสียงทุ้มลึกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทำให้ทุกคนตรงนั้นเงียบสงบทันที
องค์ชายใหญ่ “หวังหลิวหย่ง” ก้าวเท้าเข้ามากลางวงสนทนาอย่างองอาจ เขามีร่างกายสูงโปร่ง บุคลิกสุขุมและสงบเสงี่ยมบ่งบอกถึงการเป็นผู้ใหญ่ เสื้อคลุมยาวสีทองแซมดำปักลวดลายมังกรสามเล็บอันประณีต บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่งขององค์ชายรัชทายาท
เขาเดินมาหยุดตรงหน้าหวังกู้หย่งอย่างสง่างาม ก่อนจะพูดกับน้องชายโดยที่สายตาจับจ้องไปที่จางเหม่ยอิง ความอ่อนไหวบางอย่างสะท้อนออกมาจากสายตาคู่นั้น...
“กู้หย่ง เหตุใดจึงเอาแต่กล่าวโทษคู่หมั้นของเจ้าเช่นนี้ ไม่คิดบ้างหรือว่าเจ้าต้องให้เกียรติกับสตรีอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม”
หวังกู้หย่งหรี่ตา มองพี่ชายอย่างไม่พอใจ
“เสด็จพี่ เกรงว่านี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับคู่หมั้นของข้า ข้าเห็นว่าไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาแทรกแซงแต่อย่างใด”
หวังหลิวหย่งยิ้มบางๆ ราวกับไม่ใส่ใจคำพูดของน้องชายแต่อย่างใด
“ข้าเพียงเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ไม่สมกับการเป็นเชื้อพระวงศ์เลยสักนิด และข้าก็เห็นว่าจางเหม่ยอิงยังไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เจ้าควรจะให้เกียรตินางซึ่งเป็นคู่หมั้นมากกว่านี้”
จางเหม่ยอิงที่ยืนฟังอยู่ ยิ้มบางๆ และมองหวังกู้หย่งด้วยสายตาเย้ยหยัน
“องค์ชายใหญ่กล่าวได้ถูกต้องเพคะ ข้าก็แค่หลีกทางให้คนรักกันทำไมต้องมาเหยียดหยามข้าด้วย”
คำพูดนี้ทำให้หวังกู้หย่งโกรธจัด แต่ก็ถูกความสงบนิ่งขององค์ชายใหญ่ทำให้เขาไม่กล้าโต้ตอบตรงๆ หวังหลิวหย่งหันมาหาจางเหม่ยอิงและพูดอย่างอ่อนโยน
“อิงเอ๋อร์ อย่าได้กังวลไป หากมีสิ่งใดที่ข้าช่วยเจ้าได้ ข้ายินดีเสมอ”
จางเหม่ยอิงโค้งศีรษะเล็กน้อยและกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่เพคะ”
“เหม่ยอิง ถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว ให้ข้าเดินไปส่งเจ้าเถิด” องค์ชายใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หากองค์รัชทายาทไม่รังเกียจหม่อมฉัน ก็ย่อมได้เพคะ”
พูดจบทั้งสองเดินเข้าไปด้านในด้วยกันโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้าง ราวกับมีเพียงพวกเขาสองคนอยู่ในโลกใบนี้
หวังกู้หย่งเห็นดังนั้นจึงรู้สึกไม่พอใจทันที แม้ว่าเขาเองจะไม่เคยรักจางเหม่ยอิง แต่ในเมื่อนางเป็นคู่หมั้นของเขา เขาก็ไม่ยอมให้ใครโดยเฉพาะพระอนุชาของเขามาแย่งนางไป
เขารู้มาตลอดว่าพระอนุชาของเขามีใจให้จางเหม่ยอิง แต่ตระกูลจางปฏิเสธอย่างหนักแน่น เพราะองค์ชายใหญ่มีพระชายาเอกอยู่แล้ว ตระกูลจางไม่ต้องการให้บุตรสาวต้องเป็นเพียงชายารองจึงกีดกันองค์องค์ชายใหญ่ถึงแม้ว่าเขาจะมียศศักดิ์เป็นถึงรัชทายาท มองผิวเผินดูเหมือนว่าตระกูลจางจะให้ความสำคัญกับบุตรสาวคนนี้มากเสียเหลือเกิน
ผิงชิงเสียที่เห็นหวังกู้หย่งมองตามคู่หมั้นไปรู้สึกหวั่นใจนางจึงแสร้งทำเป็นอ่อนแอล้มพับลงกับพื้น หวังเรียกร้องความสนใจจากหวังกู้หย่ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังกู้หย่งก็แสดงความเป็นห่วงออกนอกหน้า แม้จะไม่ยอมแตะต้องตัวนางแต่ก็รีบสั่งให้นางกำนัลช่วยพยุงผิงชิงเสียขึ้นและพาไปหาหมอหลวงในวังทันที
“อิงเอ๋อร์! เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า...พานางไปหาหมอหลวงโดยด่วน!”
หวังกู้หย่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม ใบหน้าของเขาแสดงความกังวลอย่างชัดเจน ขณะที่ผิงชิงเสียนั้นกลับลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ
เหตุการณ์ที่สำนักศึกษาได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วว่าผิงชิงเสียเป็นลมหมดสติไปเพราะทนฟังคำพูดของจางเหม่ยอิงไม่ได้ หวังกู้หย่งร้อนรนมากจนต้องรีบเรียกหมอหลวงมาดูอาการของผิงชิงเสียทันที แต่จางเหม่ยอิงกลับไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือลำบากใจกับข่าวนี้แต่อย่างใด
แม้เขาจะมีใบหน้าหล่อเหลาคล้ายกับอาจารย์หวังที่นางเคยแอบชื่นชม แต่ทว่าความอ่อนโยนและความเห็นอกเห็นใจที่หวังกู้หย่งมีให้กับนางเทียบนั้นไม่ได้เลยกับอาจารย์หวัง
จางเหม่ยอิงรู้ดีว่าองค์ชายสามไม่ได้สนใจนางแต่อย่างใด แม้หวังกู้หย่งจะมีใบหน้าหล่อเหลาคล้ายอาจารย์หวัง แต่ความอ่อนโยนที่เขามีให้นางนั้นต้องบอกว่าเทียบกันไม่ติดเลย