ตอนที่ 4 ถือเสียว่าทดแทนบุญคุณ
ตอนที่ 4
“ลูกเข้าไปก่อนสิ”
“แม่นั่นแหละ”
“หงลี่ แกอย่ามาดันหลังฉันนะ”
“แม่ก็อย่าผลักฉันสิ”
ร่างสองร่างกำลังผลักดันกันอยู่หน้าประตูห้องนอน ต่างพยายามทำให้อีกฝ่ายเปิดประตูเดินนำเข้าไปก่อน
“เอาอย่างนี้พวกเราเข้าไปพร้อมกันเลย ตกลงไหม” ท้ายที่สุดหยุนหลี่ก็ต้องยอมเสนอทางเลือกหนึ่งที่คิดว่าดีต่อตัวเธอและลูกสาวแล้ว
“ดีค่ะ” หงลี่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ตั้งแต่วันที่ลูกพี่ลูกน้องฟื้นจากความตาย เป็นเวลาสามวันแล้ว ที่เอาแต่คลุกอยู่ในห้อง งานบ้านทั้งหลายก็ต้องตกมาเป็นหน้าที่ของเธอกับมารดา ด้วยเหตุนี้แม้จะรู้สึกกลัวหญิงสาวในห้องมากแค่ไหน พวกเธอก็ต้องบากหน้ามา
“นับ หนึ่ง สอง สาม แล้วเข้าไปเลยนะ”
“ค่ะแม่”
“หนึ่ง สอง สาม”
...ปัง...
มือของเฉินหยุนหลี่ยังไม่ทันเอื้อมไปถึงบานประตู ประตูไม้ก็ถูกเปิดออกอย่างแรง พร้อมกับร่างใหญ่ยืนกอดอกใบหน้าถมึงทึง ดวงตาที่มองมาทางสองคนแม่ลูกทำราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“กรี๊ด” จึงไม่แปลกที่คนขวัญอ่อนอย่างสองคนแม่ลูก จะร้องกรี๊ดออกมา ไม่พอยังพุ่งตัวเข้าไปยืนตัวสั่นกอดกันกลม
“โอ๊ย...จะกรี๊ดทำไม...หนวกหู”
ชิงเหยียนยกมือขึ้นอุดหูทั้งสองข้างแทบไม่ทัน แววตาที่มองสองคนแม่ลูกตรงหน้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คนหนึ่งปล่อยให้เธอนอนตายอย่างเลือดเย็น อีกคนก็เสแสร้งตอแหลเก่งที่สุดในโลก
“มาหาฉันที่ห้องมีธุระอะไรไม่ทราบ ถ้าไม่มีก็ออกไปอย่ามายืนเกะกะ”
ตลอดสามวันที่พักผ่อนอยู่แต่ในห้องนอน เพื่อรักษาบาดแผลด้านหลังศีรษะให้ดีขึ้นนั้น สามีเป็นคนจัดการยกข้าว ยกน้ำเข้ามาให้ จนตอนนี้บาดแผลของเธอเกือบหายเป็นปกติแล้ว ซึ่งอาจจะดูหายเร็วกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ
“แม่พูดสิ” หงลี่เลิกแหกปากร้องทันทีที่ลูกผู้พี่ตะคอกขึ้นมา หันมาพูดเบา ๆ กับมารดาแทน
“ทำไมแกไม่พูดเองล่ะ” หยุนหลี่ก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากบุตรสาว
“เอ้า...ก็แม่เป็นคนบังคับให้ฉันขึ้นมาเป็นเพื่อน”
“ตกลงจะไม่พูดใช่ไหม ฉันจะได้เข้าไปนอนต่อ”
ชิงเหยียนเบื่อที่จะยืนรอสองคนแม่ลูกนี้ ที่ทำท่าทางราวกับเห็นผี ไม่รู้จะกลัวอะไรเธอนักหนา กะอีแค่ตายแล้วฟื้นคืนมา มือข้างหนึ่งเอื้อมไปจับประตูเตรียมดึงเข้ามาปิด
หยุนหลี่เห็นเช่นนั้น รีบสลัดความกลัวทิ้งทันที เธอปล่อยให้หลานสาวนอนสบายมาสามวันแล้ว ขืนไม่ให้ช่วยอะไรก็เอาเปรียบคนบ้านหลี่เกินไปนะสิ
“นอนต่อไม่ได้นะ ท่าทางหลานก็ดูเหมือนจะหายดีแล้วนิ ออกมาช่วยทำงานบ้านได้แล้ว”
ดวงตาของชิงเหยียนกลอกขึ้นมองบน เธอเดาเอาไว้ไม่มีผิด ว่าต้องเป็นเรื่องนี้ ที่ผ่านมางานบ้านทั้งหมดตกอยู่ในความรับผิดชอบของชิงเหยียน เพราะป้าสะใภ้ต้องออกไปทำงานแลกแต้มที่คอมมูนด้วย ไม่ใช่เพราะบ้านหลี่ฐานะยากจนขัดสนจนถึงขั้นต้องออกไปทำงานแลกแต้มกันทุกคน เพียงแต่ว่าป้าของเธอค่อนข้างงก อยากมีอยากได้ไม่รู้จักจบ เฉพาะเงินที่พ่อกับแม่ของเธอแบ่งมาให้แต่ละเดือน ตอนที่ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ก็ทำให้บ้านหลี่อยู่อย่างสุขสบายแล้ว บ้านหลังนี้ก็สร้างมาจากเงินของพ่อเธอ
ส่วนหงลี่นั้น นอกจากจะไม่ยอมออกไปทำงานเหมือนลูกสาวบ้านอื่นแล้ว งานในบ้านเธอก็ยังไม่คิดจะหยิบจับ ดังนั้นตลอดสามวันมานี้ นอกจากจะทำงานให้คอมมูนแล้ว ป้าของเธอยังต้องรับผิดชอบงานในบ้านด้วย
“แล้วทำไมไม่ให้หงลี่ทำไปก่อนละคะ ฉันยังรู้สึกปวดหัวอยู่เลย” หญิงสาวแกล้งนิ้วหน้าด้วยความเจ็บปวด
“ฉันไม่ว่าง จะอ่านหนังสือเตรียมสอบ” หงลี่รีบพูดขึ้นทันที
“อ่านหนังสือ หรือจะนัดผู้ชายมาพลอดรักกันแน่” หญิงร่างอ้วนย้อนเข้าให้ ตลอดเวลาที่หงลี่เอาแต่คลุกอยู่ในห้อง ไม่ยอมให้เธอเข้าไปทำความสะอาด คงเป็นเพราะแอบเปิดหน้าต่างให้หยางเจี้ยนเข้ามาหาถึงในห้องนอน โดยที่พ่อแม่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
ทางฝั่งคนที่ถูกพูดจี้ถูกจุดก็หน้าเขียวหน้าดำ เรื่องที่เธอแอบนัดผู้ชายมาพลอดรัก ถูกมารดาจับได้ก็เพราะลูกผู้พี่คนนี้ ทำให้เธอถูกบิดามารดาดุจนหูชา แล้วยังถูกสั่งห้ามพบหน้ากับชายคนรักอีกจนกว่าจะถึงวันแต่งงาน ที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น
“พี่อย่ามาหาเรื่องฉันนะ อิจฉาที่พี่หยางเจี้ยนเขารักฉันใช่ไหมล่ะ” หงลี่ลอยหน้าลอยตาใส่พี่สาวต่างพ่อต่างแม่ แต่พอหันมาเห็นสายตาพิฆาตของมารดา รีบหุบปากยืนนิ่งเงียบทันที
“เรื่องนี้หยุดพูดกันได้แล้ว เดียวเรื่องไปถึงหูชาวบ้าน จะนำเรื่องนี้ไปพูดนินทาเอาได้”
หยุนหลี่รีบตัดบท ถึงแม้ว่าลูกสาวจะทำงามหน้าแค่ไหน เธอก็ไม่คิดจะลงโทษรุนแรงเกินกว่าดุด่า เพราะถึงอย่างไร ฝ่ายชายก็ส่งผู้ใหญ่มาทาบทามแล้ว และยินดีเป็นเขยแต่งเข้า คราวนี้บ้านหลี่ก็จะได้แรงงานหาเงินเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
“ส่วนหลาน ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ควรจะกลับมาช่วยงานบ้านนะดีแล้ว คนอื่นเขาทำงานกันหมด จะมามัวนอนกินแรงให้มันเปลืองข้าวเปลืองน้ำไม่ได้”
“ได้ค่ะ ฉันก็ไม่ใช่คนที่จะเอาเปรียบคนอื่นอยู่แล้ว แต่ก่อนอื่น ฉันขอเงินคืนก่อนได้ไหมคะ”
มืออวบแบยื่นออกไปตรงหน้าหญิงวัยกลางคน ทั้ง ๆ ที่คาดเดาได้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร
“เงินอะไร เงินที่ไหน” หยุนหลี่ตีหน้าซื่อ เรื่องนี้เธอปรึกษากับสามีเอาไว้แล้ว ว่าเงินนั้นชิงเหยียนเอาคืนไปไม่ได้แน่ เพราะไม่มีหลักฐานพยาน ว่าเอามาฝากไว้กับเธอ แค่พวกเธอยืนกรานว่าเงินนั้นเป็นเงินของพวกเขา แค่นี้หลานสาวก็ไม่มีสิทธิ์ตอบโต้แล้ว
“ว่าแล้ว เอาเถอะค่ะ เมื่อทุกคนอยากได้ก็เอาไปเถอะ ถือเป็นค่าเลี้ยงดูฉันตลอดสามปีมานี้ คราวนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว”
แม้จะเสียดายเงินส่วนนั้น แต่ถึงจะเอ่ยทวงอย่างไร คนหน้าไม่อายพวกนี้ก็ไม่มีวันคืนเธอแน่ ชิงเหยียนจึงจะถือว่าตอบแทนที่พวกเขาให้เธอมาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้แล้วกัน
รอให้เธอหาทางแยกบ้านให้ได้ก่อน คราวนั้นเธอกับสามีค่อยช่วยกันทำงานแลกแต้ม ถ้าขยัน ๆ หน่อย รับรองไม่มีวันอดตายแน่ ที่ไม่ออกไปทำงานตอนนี้ เพราะสิ่งที่ทำไปทั้งหมด คนบ้านหลี่ก็ยึดเอาไว้อยู่ดี
เมื่อคิดได้ หญิงสาวจึงหยุดพูดเรื่องเงิน เดินกระแทกหัวไหล่ของสองคนแม่ลูกคู่นั้น จนเสียหลักเซถลา เพื่อลงมือเข้าครัวทำอาหารเช้าเป็นอันดับแรก
“แม่ดูมันสิ ชนฉันจนเกือบล้มแหนะ” หงลี่บีบนวดหัวไหล่ข้างที่ถูกกระแทก พร้อมกับฟ้องมารดาไปด้วย
“ชนแกคนเดียวเมื่อไร ชนแม่ด้วย หน่อยเดียวนี้มันปีกกล้าขาแข็ง ทำตัวเหมือนไม่เห็นหัวฉัน ได้...ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องแกล้งทำดีกับมันแล้ว” หยุนหลี่กล่าวเสียงแข็ง สีหน้าไม่พอใจในการกระทำของหลานสาว ตอนนี้ฝ่ายนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องคอยประจบเอาใจอีกแล้ว ถ้าอยากอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป ก็อยู่ในฐานะแรงงานคนหนึ่งแค่นั้นพอ
ทางด้านชิงเหยียน หลังจากเดินเข้ามาในครัวแล้ว ก็ลงมือหุงข้าวก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็สำรวจวัตถุดิบในครัวว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง เธอเห็นมีผักกวางตุ้งและผักคะน้าวางอยู่ เลยนำออกมาล้าง แล้วหั่นเป็นขนาดพอดีคำ ก่อนจะนำไปผัดกับกระเทียม ส่วนเนื้อหมูนั้นเธอก็นำมาผัดกับซอสเปรี้ยวหวาน
หลังจากทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมจัดจะจัดใส่ชาม ป้าสะใภ้ที่เลิกหวาดกลัวเธอแล้วก็ตามเข้ามาในครัว
“เดียวฉันตักใส่จานเอง”
เฉินหยุนหลี่กะเวลาว่าหลานสาวทำอาหารเสร็จเรียบร้อย ถึงค่อยเข้ามา หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาตักแบ่งอาหารแต่ละอย่างเป็นสองชุด ชุดหนึ่งนั้นเป็นของครอบครัวหลี่ ในขณะที่อีกชุดเป็นของหลานเขย ที่ต้องกินข้าวคนเดียวอยู่ในครัว เพราะหงลี่รับไม่ได้ที่ต้องนั่งกินข้าวไป มองเห็นฟันที่ยื่นออกมาไป
“เสร็จแล้ว ตั้งแต่วันนี้ไป แกก็ไม่ต้องออกไปกินข้าวกับพวกฉันอีก กินอยู่ในครัวกับสามีแกนี้แหละ” กล่าวจบหญิงวัยกลางคนก็ยกถาดที่มีข้าวและกับข้าวออกไปจากห้องครัวทันที
ชิงเหยียนไม่ได้สนใจน้ำเสียงและท่าทีที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของป้าสะใภ้ แต่สิ่งที่เธอสนใจ คือ จานผัดผักทั้งสองจาน มีเพียงเศษผักไม่กี่ชิ้น นอกนั้นเป็นเพียงน้ำผัด ส่วนจานเนื้อหมูผัดซอสเปรี้ยวหวานนั้น ป้าสะใภ้ไม่แบ่งเอาไว้ให้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ชิงเหยียนกรรมคงตามทันเธอแล้ว”
หญิงสาวบ่น เมื่อก่อนนั้นเป็นเธอเองแหละที่แบ่งอาหารให้สามีแบบนี้ ส่วนตัวเองก็ออกไปกินข้าวกับพวกลุงป้าอย่างเอร็ดอร่อย
เอาเถอะ ถึงอย่างไร เธอก็กำลังคิดจะควบคุมอาหารลดน้ำหนักอยู่พอดี ห่วงก็แต่สามีที่ต้องออกไปใช้แรงงาน กับข้าวที่ว่าน้อยจนแทบเหลือเพียงแต่วิญญาณผักแล้ว ข้าวแต่ละมื้อสามีของเธอยังกินแทบไม่ถึงครึ่งท้องด้วยซ้ำ จนตัวเขานั้นซูบผอมกว่าเมื่อตอนที่เธอช่วยชีวิตเขาเอาไว้มาก
“เอาละสามี ต่อไปนี้ชิงเหยียนคนใหม่นี้ จะดูแลสามีให้ดีที่สุด”
ชิงเหยียนพูดพึมพำกับตัวเอง พลางตักแบ่งข้าวสวยร้อน ๆ ที่มีเพียงหนึ่งจาน ใส่ลงในจานเปล่าเพียงแค่เล็กน้อย โดยที่ไม่เห็นว่าสามีที่เตรียมตัวเรียบร้อยเดินเข้ามาในครัวตอนไหน
“น้องหายดีแล้วหรือ ถึงลุกออกมาทำอาหารได้”
หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย รีบหันไปทางประตู ก็เห็นสามีอยู่ในชุดพร้อมออกไปทำงานเรียบร้อยแล้ว เธอรีบฉีกยิ้มกว้าง เดินเข้าไปคล้องแขนของเขา พร้อมลากตัวสามีให้มานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเก่า กล่าวเสียงอ่อนเสียงหวานขึ้นมา
“ฉันหายดีแล้วค่ะ พี่รีบกินข้าวเถอะ จะได้มีแรงทำงาน” มืออวบหยิบจานข้าวสวยที่มีปริมาณมากกว่าไปวางลงตรงหน้าชายหนุ่ม ก่อนที่เธอจะเคลื่อนกายใหญ่มาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เตรียมกินข้าวที่อยู่ในจานเพียงน้อยนิด
“น้องไม่ออกไปกินข้างนอกหรือ” จางเหว่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจ ปกติเขากับภรรยาไม่เคยได้นั่งร่วมโต๊ะกันแบบนี้
“ไม่ค่ะ สามีกินที่ไหน ภรรยาก็ควรกินที่นั่นไม่ใช่หรือคะ” ชิงเหยียนตอบหน้าตาย ก่อนจะลงมือตักเพียงน้ำแกงราดใส่ข้าวแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน
จางเหว่ย มองการกระทำที่เปลี่ยนไปมากของภรรยา ไม่นึกว่าหญิงสาวจะปรับปรุงเปลี่ยนตัวเองมากไปขนาดนี้ เขายอมรับเลยว่า มันทำให้เขาเริ่มรู้สึก ว่าหญิงสาวคือครอบครัวของเขาแล้ว โดยที่เขาไม่ต้องพยายามเข้าหาอีกฝ่ายเพียงฝ่ายเดียว และมันทำให้ใจดวงน้อยนี้มีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...