บทที่ 3
ทันทีที่ฉันเดินออกจากตึกออฟฟิศ เสิ่นถัง ก็ยืนรออยู่หน้าประตูเรียบร้อยแล้ว
เงาสะท้อนในชุดสีดำของเธอดูผอมบางและมีออร่าหม่น ๆ ปกคลุมรอบตัว
ฉันลังเลเล็กน้อยก่อนจะเรียกชื่อเธอเบา ๆ
“เสิ่นถัง...”
เธอหันกลับมา รอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากช่วยกลบความหม่นเศร้าในแววตาได้ทันที
เธอสอดส่องสีหน้าฉันแบบละเอียด ก่อนจะยื่นถุงใบหนึ่งมาให้
น้ำเสียงเด็ดขาดจนไม่ให้ปฏิเสธ
“ ซ่งชิงชิง! พักนี้เธอแอบนอนดึกอีกแล้วใช่ไหม?”
ฉันอ้ำอึ้ง
เธอถอนหายใจ พร้อมส่ายหัว
“ฉันเตือนกี่ครั้งแล้วว่าเลิกดูติ๊กต๊อกตอนดึก ๆ สักที! หน้าเธอซีดจะตายอยู่แล้ว รู้ไหมว่าเสียพลังชีวิตขนาดไหน!”
เธอพูดไปก็ยัดถุงหนัก ๆ ใส่มือฉัน
ฉันสะดุ้งเมื่อรับมันมา มันหนักจริงจัง
พลางเงยหน้าขึ้นถาม
“อะไรเนี่ย?”
เสิ่นถังเป็นคนที่ชอบซื้อของพื้นบ้านมาฝากบ่อย ๆ
แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอให้ของขวัญที่หนักจนฉันรู้สึกไม่ไว้ใจ
แถมถุงสีดำนี้ดูมืด ๆ มัว ๆ เหมือนจะส่งกลิ่นอะไรบางอย่างออกมา
ฉันยื่นถุงออกห่างตัวโดยไม่รู้ตัว
เสิ่นถังหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบ
“ยาสมุนไพรท้องถิ่นที่บ้านฉัน ใช้บำรุงเลือดบำรุงร่างกาย ใต้ฝาถุงมีโพสต์อิทเขียนวิธีต้มไว้แล้ว ต้องดื่มทุกคืน เข้าใจไหม?”
ฉันก้มลงดูสมุนไพรในถุง มันดำสนิทเหมือนอะไรแห้ง ๆ พันกัน
ฉันย่นคิ้วด้วยความไม่สบายใจ
“ฉันไม่อยากกินของพวกนี้อะ…”
คำพูดยังไม่ทันขาดประโยคดี
เสิ่นถัง ผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องใจเย็นก็ของขึ้นทันที สิ่งที่หาได้ยากมาก!
“ไม่ได้นะ ซ่งชิงชิง...เธอต้องกิน!”
น้ำเสียงของ เสิ่นถัง แหลมสูงจนเหมือนเล็บขูดกระจก ใบหน้าที่เคยใจดีดูเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
ฉันยืนตัวแข็งทื่อ อุ้มถุงยาสมุนไพรไว้ในอ้อมแขนด้วยความตกใจ
แต่หลังจากพูดจบ เธอก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเผลอพูดแรงเกินไป
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วยื่นมือมาแตะแก้มซีด ๆ ของฉันเบา ๆ
น้ำเสียงอ่อนลง เหมือนกลับมาเป็น เสิ่นถัง คนเดิม
“ ซ่งชิงชิง…นี่เป็นยาสมุนไพรที่ฉันกลับบ้านไปหาหมอชาวบ้านจัดให้เลยนะ”
“เธอนอนดึกทุกวัน ฉันเป็นห่วงจริง ๆ
ดื่มวันละถุงก่อนนอนนะ มันช่วยบำรุงเลือด บำรุงพลังชีวิต…”
มือของเสิ่นถังเย็นเฉียบ แต่ฉันกลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด
เหมือนคนคุ้นเคยที่ห่วงใยกันมาตลอดกลับคืนมาแล้ว
ฉันรู้ว่าฉันทำตัวน่าห่วงจริง
เลยได้แต่เม้มปาก พยักหน้าเบา ๆ เป็นเเสิ่นชิงยอมรับ
พอเห็นฉันตอบรับ เสิ่นถัง ก็ยิ้มออกมานิด ๆ
เธอลูบแขนฉันเบา ๆ แล้วพูดต่อ
“โอเค เรื่องยาสมุนไพรจบไปละ ทีนี้เดี๋ยวฉันพาเธอไปหาซานจ๋า (อาจารย์พราหมณ์) ที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์สุด ๆ”
“ไม่งั้นเธอก็จะฟุ้งซ่านเหมือนเดิมอยู่ดี เชื่อฉันเถอะ”
ฉันพยักหน้าทันที
สองวันนี้มีแต่เรื่องแปลก ๆ จนเริ่มทนไม่ไหวแล้ว
วัดที่เสิ่นถังพาฉันไปอยู่ค่อนข้างลึกและเงียบมาก
พี่แท็กซี่ขับวนอยู่หลายรอบ ยังหาทางเข้าไม่เจอ
สุดท้ายเขาก็จอดหน้าซอยแคบ ๆ แล้วบ่นเสียงแข็ง
“คนกรุงเทพพวกนี้นี่นะ…จะไหว้พระก็ไม่ไปไหว้ที่วัดพระแก้ว มาหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ในซอกซอยนี่
มีดีไม่ไหว้ ดันไปหาเจ้าที่เจ้าทางแบบนี้ โดนผีหลอกก็ไม่แปลก!”
คำพูดเขารุนแรงจนฉันเริ่มรู้สึกไม่ดี
แต่ยังไม่ทันจะเถียงกลับ พี่แท็กซี่ก็เบิกตากว้าง ใบหน้าซีดขาว แล้วเหยียบคันเร่งพุ่งออกจากซอยราวกับเห็นผีจริง ๆ
ฉันตะลึงกับภาพนั้น
ก่อนจะเริ่มหนาวเยือกขึ้นมาจากข้างในโดยไม่รู้สาเหตุ…
ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ซ่งชิงชิงลูบแขนที่ลมเย็นพัดผ่านจนขนลุก แล้วเม้มริมฝีปากเตรียมจะเดินออกจากปากซอย
แม้ว่าเสิ่นถังจะบอกว่าในซอยนั้นมีวัดพระแก้วอยู่ และครูบาอาจารย์ผู้มีญาณทิพย์กำลังรอพบ ซ่งชิงชิงอยู่ข้างในก็ตาม
เมื่อเห็นว่าคำพูดปลอบโยนไม่เป็นผล ใบหน้าของเสิ่นถังก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงเย็นด้วยความโกรธ
“ ซ่งชิงชิง เธอจะหยุดงี่เง่าแบบไม่มีเหตุผลได้ไหม วัดพระแก้วนั่นเธอเป็นคนขอให้ฉันพาไปเองนะ คนเก่งคนนั้นฉันต้องใช้เส้นสายมากมายกว่าจะยอมออกมาพบเธอวันนี้ แล้วตอนนี้แค่คำพูดของลุงแท็กซี่ไม่กี่คำ เธอกลับจะไม่ไป แบบนี้มันเกินไปไหม!”
เสิ่นถังเป็นคนใจเย็นแทบไม่เคยมีปากเสียงกับใคร แต่วันนี้ เธอกลับโกรธใส่ ซ่งชิงชิงถึงสองครั้งติดต่อกัน
ซ่งชิงชิงมองเข้าไปในดวงตาที่เย็นชาและมืดมนของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุก รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
แต่เสิ่นถังก็ยังคงก้าวเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
เธอคว้าข้อมือ ซ่งชิงชิงไว้แน่น เสียงของเธอแหบพร่าเหมือนกระจกฝ้าขูดกับกระดานดำ
“ ซ่งชิงชิง เธอต้องไป”
มือที่จับข้อมือ ซ่งชิงชิงไว้แน่น ราวกับคีมเหล็กเย็นเฉียบ ดวงตาดำสนิทของเสิ่นถังจ้องเธอเขม็งเหมือนจะทะลุออกมานอกเบ้า ใบหน้าของเธอเย็นชาไร้อารมณ์ ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายแปลกประหลาดน่าขนลุก ราวกับว่ามีเจ้าที่เจ้าทางบางตนกำลังจะฉีกทึ้งผิวมนุษย์ของเสิ่นถังแล้วปีนออกมาจากข้างใน
ความคิดในหัวของ ซ่งชิงชิงทำให้ตัวเองตกใจ เธอสลัดมือที่เสิ่นถังจับไว้ทันที ตัวสั่นสะท้าน แล้ววิ่งออกจากซอยโดยไม่หันกลับไปมอง
เธอวิ่งกลับถึงคอนโด รีบล็อกประตู แล้วมุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม
จนกระทั่งได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย เส้นประสาทที่ตึงเครียดของเธอถึงได้คลายลงเล็กน้อย
โชคยังดีที่เสิ่นถังไม่ได้ตามมา
ทั้งเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้
รวมถึงความเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาดของเสิ่นถัง
ทั้งหมดนี้ทำให้ ซ่งชิงชิงรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ
เหมือนถูกอะไรบางอย่างดลใจ ซ่งชิงชิงเปิดแอปฯ โซเชียลสีเขียวอีกครั้ง
เข้าไปในห้องแชทกับ “นักพรตชิงหยวน” แล้วปลดบล็อกเขา
ประวัติการสนทนายังหยุดอยู่ที่วันที่ 5 เดือนที่แล้ว
เป็นข้อความสุดท้ายที่ ซ่งชิงชิงเคยต่อว่านักพรตชิงหยวนว่า
เอาความเชื่อพื้นบ้านมาหลอกลวงเธอ
เธอลองส่งข้อความจุดหนึ่งไปอย่างระมัดระวัง
หน้าจอแสดงว่า “ส่งสำเร็จ”
ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้
เพราะแปลว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้บล็อกเธอกลับ
ซ่งชิงชิงขดตัวอยู่ในผ้าห่มด้วยความหนาวเย็น
เธอฝากความหวังทั้งหมดไว้กับอีกฝั่งของหน้าจอ
แล้วพิมพ์เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
รวมถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ของเสิ่นถังอย่างไม่มีลำดับ
ราวกับกำลังคว้าฟางเส้นสุดท้าย ขอให้มีใครสักคนช่วยชี้ทางออกจากความมืดมนนี้
หลังจากกดส่ง
ซ่งชิงชิงก็มองหน้าจอไม่วางตา
แม้เปลือกตาจะหนักและแสบ แต่เธอก็ไม่กระพริบเลยแม้แต่น้อย
รอคอยการตอบกลับอย่างมีความหวัง
สองนาทีผ่านไป
ข้อความแสดงว่า “อ่านแล้ว”
ซ่งชิงชิงจ้องคำว่า “หนีไป” ที่อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างงุนงง
ยังไม่ทันได้ตั้งสติดี
นักพรตชิงหยวนก็ส่งข้อความเสียงสั้น ๆ ตามมาอีกหนึ่งอัน
เมื่อ ซ่งชิงชิงกดฟัง
เสียงชายหนุ่มที่ฟังดูจริงจังและร้อนรนก็ดังสะท้อนในห้องนอนที่เงียบสงัด
“อย่าให้เธอเจอเธอเด็ดขาด!”
นั่นคือเสียงของ “โจวจิ้น”
ซ่งชิงชิงกำโทรศัพท์ร้อนผ่าวไว้แน่น มือสั่น
หัวสมองว่างเปล่า พยายามเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
โจวจิ้นเคยส่งชุดแต่งศพมาให้เธอ
ตอนนี้ยังปลอมตัวเป็นนักพรตชิงหยวนแล้วมาบอกให้เธอหนี
เขากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?
หรือว่านี่เป็นการแกล้งล้างแค้นเธอเรื่องเลิกกันอีกครั้ง?
ซ่งชิงชิงมือสั่นเตรียมจะพิมพ์ข้อความถามกลับไป
แต่ยังไม่ทันได้พิมพ์
จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ สามครั้ง...
จังหวะช้า และกดดันอย่างน่าขนลุก
