บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

“ ซ่งชิงชิง แกเลิกกับโจวจิ้นแล้วเหรอ?”

เสียงของเสิ่นถังเพื่อนสนิทฉันดังขึ้นทันทีที่ฉันโทรหา

ฉันระบายทุกอย่างออกไปแบบไม่หยุดหายใจ ตั้งแต่เรื่องโจวจิ้นปิดบังว่าเคยแต่งงานและมีลูก

จนถึงตอนที่ฉันขอเลิก แล้วเขาดันส่งชุดศพมาให้ฉันถึงบ้าน

“ไอ้เวรโจวจิ้น มันยังกล้าเย็บวันเดือนปีเกิดฉันไว้บนซับในชุดศพอีกนะ!”

“ฉันแค่ด่ามันไม่กี่คำ มันถึงขั้นอยาก ‘ยืมอายุขัย’ ฉันเลยเหรอ?”

“คนแบบนี้มันชั่วจริง ๆ!”

ฉันสาปแช่งเสียงดัง พลางกดรีเฟรชหน้าจอ XiaoGreenBook เพื่อรอดูว่า “นักพรตชิงหยวน” จะตอบฉันไหม

เขาคือคนที่ทักมาหาฉันด้วยประโยคสุดหลอนว่า:

“อย่าอยู่บ้านคนเดียว!”

“แฟนเก่าเธอไม่ได้แค่โกรธ… เขากำลังจะ ‘ยืมร่าง’ เธออยู่!”

แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบจากเขา เสียงหัวเราะของเสิ่นถังก็ดังลอดมาทางสาย

“ ซ่งชิงชิง แกเชื่อแบบนี้จริงดิ?”

“อีกหน่อยมีคนมาหลอกขายเครื่องราง แกก็โดนอีกแน่ ฮ่าๆๆๆ”

ฉันโดนขำจนเริ่มลังเลว่าตัวเองจะฟุ้งซ่านเกินไป

เลยรีบหาทางออกให้ตัวเองแบบขอไปที

“แต่มันมีวันเดือนปีเกิดปักอยู่จริง ๆ นะ…”

เสิ่นถังทำเสียง “เหรอ~” แล้วถามกลับทันที

“แล้วแกดูรึยังว่าเป็นวันเกิดของใคร? ของแก หรือของโจวจิ้น?”

คำถามเธอทำเอาฉันนิ่ง

ตอนนั้นฉันตกใจจนไม่ได้ดูดี ๆ ว่าวันเกิดนั้นเป็นของใคร

พอได้สติ ฉันก็รีบคว้าชุดศพมา เปิดซับในตรงคอเสื้ออีกครั้ง

“เกิงเฉิน เจี่ยเซิน อู่หยิน กุ่ยไห่…”

ไม่ใช่ของฉัน

ไม่ใช่ของโจวจิ้น

“อะไรของมันเนี่ย…”

ฉันงงหนักกว่าเดิม

ถ้าโจวจิ้นจะทำพิธีเล่นของอะไรสักอย่าง ปักวันเกิดก็ต้องเป็นของฉันหรือไม่ก็ของเขาเองสิ

แต่ไหงกลับเป็นวันเกิดของใครก็ไม่รู้?

เสิ่นถังรอฟังคำตอบไม่ไหว รีบถามซ้ำ

“สรุปเห็นยัง? มันเป็นวันเกิดของใคร?”

ฉันยังมึน ๆ ตอบไปแบบเหม่อ ๆ

“หรือว่า…หมอนั่นจำวันเกิดฉันผิด?”

แต่ก็รีบส่ายหน้าเอง

“ไม่มีทาง อาทิตย์ก่อนเพิ่งวันเกิดฉันเอง

โจวจิ้นยังถักสร้อยข้อมือแดงให้ ทั้งงกทั้งซึน จะลืมง่าย ๆ ได้ไง”

เสิ่นถังได้ยินก็หลุดขำออกมา

“เฮ้อ แกนี่มันลูกเจี๊ยบจริง ๆ

รู้ไหมว่าบางที่…เค้ามีธรรมเนียม ‘ปักวันเดือนปีเกิดของผู้ตาย’ ลงบนชุดศพนะ

แกบ้านอยู่แถวไหนกันแน่ ถึงไม่เคยได้ยิน?”

ฉันอึ้ง

เพราะไม่เคยรู้เลยจริง ๆ ว่ามีธรรมเนียมแบบนี้

เสิ่นถังเคยจัดงานศพพี่สาวตัวเอง เลยรู้เรื่องแบบนี้มากกว่าฉันหลายขุม

หลังจากเสิ่นถังเล่าให้ฉันฟังว่า บางพื้นที่มีธรรมเนียมปักวันเดือนปีเกิดบนชุดศพ

ฉันก็ถอนหายใจโล่งอกโดยอัตโนมัติ

ลองค้นในกูเกิลดูเล่น ๆ ก็พบว่าจริง มีบางจังหวัดที่ทำแบบนั้นจริง ๆ

เสิ่นถังพูดเสียงมั่นใจ

“ก็คงแค่โจวจิ้นมันอยากขู่แก แล้วร้านก็ส่งของผิดน่ะสิ!”

บางทีชุดนี้อาจเป็นของที่ลูกค้าสั่งตัดพิเศษ

มีการปักวันเดือนปีเกิดของญาติผู้ล่วงลับเอาไว้

แต่ร้านเกิดส่งมาผิด ดันมาโผล่ที่ฉันซะงั้น

พอรู้ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันก็หายกลัวสนิท

แล้วก็นึกขำตัวเองที่ดันไปหลงเชื่อ “นักพรตชิงหยวน” บน XiaoGreenBook

ที่แท้ก็แค่พวกนักต้มตุ๋นเอาความเชื่อท้องถิ่นมาหลอกเงิน

โชคดีที่เสิ่นถังโทรมาทัน ไม่งั้นฉันอาจโอนตังค์ให้หมอนั่นไปแล้วก็ได้

ฉันบ่นตัวเองไป หัวเราะไป

จากนั้นก็เข้าแอป XiaoGreenBook อีกครั้ง

รัวแป้นพิมพ์พ่นไฟใส่ “นักพรตชิงหยวน” ด้วยภาษาจีนสุดงดงาม

แล้วกดบล็อกแบบไม่ลังเล

จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฉันก็ออกจากแอป

หันกลับมาเมาท์แตกกับเสิ่นถังต่อ

“ไอ้บ้านั่นมันมีหน้ามาหลอกจะแต่งงาน ทั้งที่เคยหย่าแถมมีลูกอีกคน!”

“พอฉันจับได้ ก็ส่งชุดศพมาให้? ชั่วได้โล่จริง ๆ!”

เสิ่นถังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดอย่างรู้สึกผิด

“ ซ่งชิงชิง เราขอโทษนะ ตอนแนะนำให้แก เราก็นึกว่าเขาเป็นคนดี เงียบ ๆ ดูน่าไว้ใจ…”

“ใครจะไปรู้ว่าเป็นผู้ชายเลว ๆ แบบนี้”

“แกไม่ต้องห่วงนะ เราจะไม่ปล่อยมันไว้แน่!”

ฉันกับโจวจิ้นเจอกันก็เพราะเสิ่นถังนี่แหละ

ตอนนั้นฉันเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ ย้ายมาอยู่คอนโดใกล้ที่ทำงาน

เพราะงบน้อย เลยเช่าห้องราคาถูก

ซึ่งถูกสมชื่อ ของใช้ในห้องโบราณระดับมิวเซียม

ชักโครกกับท่อน้ำตันจนฉันเกือบต้องย้ายหนี

เสิ่นถังสงสารฉันที่เพิ่งเริ่มทำงาน กลัวเสียเงินค่าช่าง

เลยแนะนำให้รู้จักกับโจวจิ้น เพื่อนร่วมรุ่นจากมหาลัยเดียวกัน

ที่ตอนนั้นทำงานเป็นหัวหน้าช่างเทคนิคในไซต์ก่อสร้างแถวคอนโดฉันพอดี

โจวจิ้นก็ใจดีมาช่วยซ่อมให้แบบไม่คิดเงิน

แถมดูขยัน เรียบร้อย สุภาพสุด ๆ

ฉันเองก็เกรงใจ ไม่อยากให้เขาช่วยเปล่า ๆ

เลยมักจะทำกับข้าวเลี้ยงเขาทุกครั้งที่เขามาช่วย

หลังจากเจอกันบ่อย ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับโจวจิ้นก็ค่อย ๆ ใกล้ชิดมากขึ้น

จนวันวาเลนไทน์ เขาสารภาพรักกับฉัน

ฉันก็ใจอ่อน ตอบตกลงไปแบบไม่คิดว่าทุกอย่างจะลงเอยแบบวันนี้

ใครจะไปคิดว่า…

ชายคนที่ดูสุภาพ อ่อนโยน กลับเป็นคนที่ปิดเรื่องเคยแต่งงาน-มีลูก

แถมพอฉันขอเลิก ก็ส่งชุดศพมาให้เป็นการตอบแทน

แต่ถึงยังไง เสิ่นถังก็แนะนำเขาให้ฉันด้วยความหวังดี

ฉันโกรธเธอไม่ลงจริง ๆ

กลัวว่าเสิ่นถังจะโดนโจวจิ้นย้อนมาทำร้าย ฉันรีบห้ามทันที

“อย่าเลยนะแก โจวจิ้นมันเลวแบบจิตอาฆาตอะ

ฉันโดนเองคนเดียวก็พอแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของแกสักนิด”

“เราแค่ซวยโดนมันหลอกเหมือนกันนั่นแหละ

อย่าไปยุ่งกับมันอีกเลยนะ ถือว่าจบ ๆ กันไปเถอะ”

เสิ่นถังพูดขอโทษนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ปลายสายเงียบไปพักใหญ่ ก่อนบอกให้ฉันพักผ่อน

ฉันง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้น

บอกฝันดีเธอแล้วก็ทิ้งตัวลงนอน ห่อตัวอยู่ในผ้าห่ม

ฉันสะดุ้งตื่นจากความหนาวที่แปลกผิดปกติ

ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย… แล้วก็เกือบหัวใจหยุดเต้น

ที่ปลายเตียง มีเงาดำยืนอยู่

ลักษณะก้มตัวลงมาหาฉันช้า ๆ กลางความมืด

ทั้งเย็น ทั้งเงียบ ทั้งเหมือนคน แต่ก็ไม่เหมือนคน

ฉันตกใจจนแทบกรี๊ด แต่เสียงติดคอ

รีบถอยหลังกลิ้งไปชนขอบเตียง มือปัด ๆ หาสวิตช์ไฟอย่างลนลาน

อีกมือก็ยกขึ้นชี้เงาดำ พยายามขู่ด้วยคาถามั่ว ๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ลิงปิงโต่วเจ๋อเจินเหลี่ย! ”

“ไท่ซ่างเหล่าจวินสอนข้าปราบผี! ”

“โอม มณี ปัทเม หุม!”

“ถอยไป! ถอย! ถอย!!!”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคาถาจริง ๆ

หรือเพราะฉันตะโกนจนผีตกใจ

แต่เงาดำ… หยุดนิ่งลงจริง ๆ

เสียงลมหวีดหวิวพัดวนในห้อง

เมื่อฉันเปิดไฟหัวเตียง ไฟสีวอร์มขับไล่ความมืดออกไปทันที

ฉันถึงได้เห็นสิ่งที่ทำให้ฉันเกือบหัวใจวายเมื่อกี้…

ชุดผ้าไหมแดงที่ได้จากโจวจิ้น กำลังพองลม ยืนสั่นพะเยิบพะยาบอยู่ปลายเตียง

แอร์เปิดอยู่ที่ 16 องศา

พัดลมก็เปิดวนสลับ ลมเย็นปะทะกันกลางห้อง

ถึงว่าทำไมมันถึงได้หนาวเย็นขนาดนี้ ทั้งที่เป็นค่ำคืนของกรุงเทพฯ

เมื่อเข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่อุบัติเหตุจาก “ผ้าผืนเดียว”

ฉันก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

ก่อนจะเดินไปปิดแอร์กับพัดลมแบบหงุดหงิด

แล้วคว้าชุดไหมแดงในตำนานไปโยนลงถังขยะ พร้อมสบถ

“ไอ้โจวจิ้น เวรเอ๊ย!”

จากนั้นฉันก็เปิดโทรศัพท์

เข้าไปที่ช่องแชตของโจวจิ้นที่ตอนนี้โดนฉันบล็อกแล้ว

พิมพ์ด่าเขารัว ๆ ในช่องแชตแบบไม่ได้หวังให้ใครเห็น คล้าย ๆ “บำบัด”

จนพิมพ์พอใจก็ค่อย ๆ กดปิดไฟหัวเตียง แล้วทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง

เช้าวันถัดมา

ฉันรู้สึกเหมือนตัวลอย ๆ

ตอนนั่งทำงานที่ออฟฟิศ สมองเบลอ สายตาพร่ามัว

เพิ่งเปิดโน้ตบุ๊คเพื่อจะจัดข้อมูลตัวเลข

ตัวเลขบนหน้าจอกลับเหมือนเต้นระบำอยู่ตรงหน้า

“ ซ่งชิงชิง เป็นอะไรรึเปล่า?”

คู่หูโต๊ะข้าง ๆ อย่าง เสิ่นถัง เหลือบตามองด้วยสีหน้ากังวล

“หน้าซีดเลยนะ เหมือนโดนดูดพลังชีวิตมาซะอย่างงั้น”

ปกติฉันจะขำกลับ

“โดนดูดพลังชีวิต” ก็ไม่ต่างจากโดนดูดเงินตอนสิ้นเดือนนั่นแหละ

แถมยังต้องฝืนยิ้มรับ KPI

แต่เพราะเมื่อคืนโดนชุดศพเล่นงาน

ประโยคนั้นของเสิ่นถังเลยเหมือนพุ่งเข้าแทงกลางใจฉัน

เธอพูดพลางยื่นกระจกแต่งหน้าให้ฉันดู

พอฉันก้มลงส่องกระจก ก็แทบผงะ

หน้าฉันซีดจนแทบไร้เลือดฝาด ใต้ตาดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้า

เมื่อเช้าก็มัวแต่รีบวิ่งขึ้น BTS

ไม่ได้ดูหน้าตัวเองในกระจกเลย

เพิ่งมาสำเหนียกว่า ฉันดูเหมือนเพิ่งหนีออกจากยมโลกยังไงยังงั้น

ฉันเม้มปากแน่น สูดลมหายใจลึก

ไม่ว่าจะงมงายหรือคิดมาก

วันนี้ฉันจะไปวัดให้ได้!

จะขอพระ ขอเครื่องราง ขออะไรก็ได้

เอาไว้กันเคราะห์ซวยที่เกาะแน่นจนไม่ปล่อยสักที

แต่วันนี้มันสิ้นเดือน…

จะลางานก็กลัวโดนหักเบี้ยขยัน

ขอแวะวัดตอนพักเที่ยงแล้วกัน!

สุดท้ายหลังชั่งใจอยู่พักใหญ่ ฉันก็ตัดสินใจว่าจะไปไหว้พระหลังเลิกงาน

เสิ่นถัง ที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เพียงแค่ถามด้วยความหวังดี

“จะให้เราไปด้วยไหม?”

ฉันรีบส่ายหัว

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเลิกงานนัด เสิ่นถัง ไว้แล้ว เธอรู้จักวัดที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ อยู่ที่นนทบุรี”

เสิ่นถังเคยเป็น HR ของบริษัท นี้

สองปีก่อนตอนฉันเพิ่งเรียนจบ ก็คือเธอคนนี้ที่สัมภาษณ์และรับฉันเข้าทำงาน

เราเข้ากันได้ดีตั้งแต่วันแรกที่เจอ และกลายเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่นั้นมา

ต่อมาเสิ่นถังมีเรื่องที่บ้าน เงินเดือน HR ไม่พอส่งเสียครอบครัว

เธอเลยตัดสินใจลาออกและเปลี่ยนสายงาน

ตอนนั้นฉันแอบกังวลว่า พอไม่ได้เจอกันทุกวัน

ความสัมพันธ์ของเราจะจางลงตามเวลา

แต่เสิ่นถังกลับพิสูจน์ว่าฉันคิดผิด

เธอยังคงนัดเจอฉันกินข้าวเกือบทุกเดือน

แถมยังคอยส่งของกินพื้นบ้านจากบ้านเกิดมาให้ฉันเรื่อย ๆ

จนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังรู้สึกว่า

เสิ่นถังคือของขวัญที่ดีที่สุดที่ฉันได้รับจากการทำงานที่นี่

ฉันยิ้มบาง ๆ อย่างซึ้งใจ

เสิ่นถังเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเสิ่นถัง

เธอลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเรียกชื่อฉันเบา ๆ

“ ซ่งชิงชิง...”

ฉันเงยหน้าขึ้นมองเธอ

แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดต่อ หัวหน้าฝ่าย ก็เรียกเสิ่นถังเข้าไปในห้องประชุม

จนเลิกงานเธอก็ยังไม่ออกมา

ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้านายคนนี้ “คุยนานยิ่งกว่าหมอจัดกระดูก”

ฉันได้แต่ภาวนาให้เธอรอดกลับมาแบบไม่บอบช้ำ

แล้วรีบเก็บโน้ตบุ๊ก กระโดดเข้าลิฟต์อย่างไว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel