ตอนที่ 9 หักใจมิให้รัก
เมื่อสาวน้อยจอมยุทธ์เกิดมีรักปักใจกับบัณฑิตหนุ่มธรรมดา ‘หากปรารถนาหัวใจสุภาพชนมาครอง จำต้องเรียบร้อยอ่อนหวาน พึงสำรวมกิริยานุ่มนวลอ่อนโยน มิอาจห้าวหาญเผยท่าทีก้าวร้าว อย่าทำให้ชายในดวงใจสะดุ้งหวาดกลัวเชียว’
ริมสระบัวภายในสวนร่มรื่นแห่งเดิม
เพิ่มเติมคือวันนี้เพ่ยหนิงเห็นสตรีนางหนึ่งยืนอยู่มิใช่เฉินเฟิง
หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้จึงจำได้ว่าอีกฝ่ายคือ ชิงเย่ บุตรสาวเจ้าของร้านขายบะหมี่ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน
อุตส่าห์มาเยือนถึงที่นี่ ในเรือนแห่งนี้ คงไม่แคล้วต้องตาต้องใจเฉินเฟิงเช่นกันกระมัง
เพ่ยหนิงย่อมมีความคิดและใจกว้างมีน้ำใจต่อศัตรูมากพอ ต่อให้ชมชอบการแข่งขันฟาดฟันปานใด แต่สิ่งหนึ่งที่สตรีเช่นนางไม่ค่อยสัดทัดและมิใคร่สู้คนเท่าใดก็คือการต่อสู้เพื่อแย่งชิงบุรุษ
เพ่ยหนิงแข็งแรงทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้ที่นางอ่อนแอยิ่ง จึงมิอาจครอบครองบุรุษโดยการตบตีแย่งชิงกับสตรีอื่น
หญิงสาวเข้าใกล้ชิงเย่อีกนิดขณะคลี่ยิ้มทักทายเสียงใส ท่าทีเปี่ยมมิตรไมตรี
“อรุณสวัสดิ์ แม่นางชิง มาส่งบะหมี่ให้พี่เฉินเฟิงหรือ?”
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่รับน้ำใจนี้ นางเชิดหน้าคอตั้งส่งเสียงเหยียดว่า “ข้ามาทำอะไรก็เรื่องของข้า ผู้อื่นไม่เกี่ยว”
เพ่ยหนิงพลันหุบยิ้มฉับ
เฮอะ! หญิงสาวสะบัดหน้าพรืด หยิ่งนักไม่ทักก็ได้
สาวน้อยทำท่าเดินผละจากบุตรสาวร้านบะหมี่ทันที
ทว่ามิคาด ชิงเย่กลับยื่นมือมาดึงไหล่บางให้หันหน้ามา “เจ้าจะรีบหนีไปไหน?”
เพ่ยหนิงมุ่นคิ้ว “เหตุใดข้าต้องหนี?”
ชิงเย่ยิ่งไม่ยอม “แสดงว่าจะเข้าเรือนไปหาพี่เฉินเฟิง”
เพ่ยหนิงพยักหน้าตอบตามสัตย์ “อืม”
นี่มิใช่เรื่องแปลกเพราะนางเข้านอกออกในเรือนแห่งนี้บ่อย หลายครั้งหานตงกับเฉินเฟิงยังนั่งร่ำสุราด้วยกันจวบจนรุ่งสาง นางมีหน้าที่ทำกับแกล้ม ที่เรือนของเขาบ้าง ที่เรือนของนางบ้าง
หญิงสาวขยับเท้าทำท่าจะเดินจากไป ไม่ใส่ใจชิงเย่เท่าใด
“ไม่นะ ข้าไม่ให้เจ้าเข้าไป” ชิงเย่รีบเหยียดแขนออกขวาง “ข้ามายังไม่ได้เจอ เจ้ามีสิทธิ์อะไรได้เจอพี่เฉินเฟิ่งก่อนข้า อย่าลืมว่าข้ารู้จักกับเขาก่อนเจ้า”
ชิงเย่เอ่ยอย่างเหนือกว่า นางเกิดและเติบโตในหมู่บ้านนี้ ได้รู้จักเฉินเฟิงก่อนเพ่ยหนิงที่เพิ่งมาอยู่เมื่อต้นปี
ทว่าเพ่ยหนิงไม่สนใจ มองชิงเย่เป็นอากาศ นางก้าวเดินต่อ
เห็นเช่นนั้น ชิงเย่พลันเดือดดาล
หญิงสาวรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพุ่งตัวใส่เพ่ยหนิง หวังผลักให้กระเด็นล้มลงจนเจ็บตัวร้องไห้กลับบ้าน
หากแต่เพ่ยหนิงที่มีวรยุทธ์ประสาทสัมผัสฉับไวไหนเลยจะเชื่องช้าเสียทีโดยง่าย
สาวน้อยปรายหางตามองแวบหนึ่งแล้วเบี่ยงกายหลบ
ชิงเย่จึงเสียหลักสะดุด พาร่างของตนล้มกระแทกพื้นดินเสียงดังพลั่ก ก่อนจะกลิ้งหลุน ๆ หล่นลงน้ำในสระบัวเสียงดังตู้ม
เพ่ยหนิงยังไม่ทันจะลงไปช่วย กลับเห็นร่างหนึ่งพุ่งพรวด กระโดดลงน้ำตามชิงเย่ไป
หญิงสาวเพ่งมองให้แน่ใจว่าผู้ที่พุ่งลงน้ำตามชิงเย่ไปคือใคร
เมื่อเห็นชัดสาวน้อยพลันเบิกตา
พี่เฉินเฟิง...
ไม่นาน สองร่างในน้ำก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาบนฝั่งในลักษณะกอดรัดกันและกัน อาภรณ์ของพวกเขาเปียกชื้นฉ่ำน้ำ เผยสัดส่วนอันประณีตงดงามดุจภาพวาดยวนยางยามเคียงคู่วสันต์
ชิงเย่ร่ำไห้กระซิกๆ เบียดเนื้อนวลเปียกชื้นแนบสนิทกับหน้าอกกว้างของบุรุษอย่างต้องการออดอ้อน พลางสะอื้นฟ้องร้อง
“ฮือ...ข้ากลัวเหลือเกิน เพ่ยหนิงจะฆ่าข้า” นางซบใบหน้ากับต้นคอแกร่ง สะอึกสะอื้นตัวสั่นระริก ชวนสงสารและน่าถนอมในคราเดียวกัน “ฮึก...พี่เฉิน ข้ากลัวเจ้าค่ะ ข้ากลัว...”
เพ่ยหนิงกะพริบตาปริบๆ
มิใช่งงงัน แต่กำลังต้องการประเมินกิริยาของฝ่ายชาย
หากเขาหลงกลมารยาสาไถย เห็นทีนางคงไม่มีสิ่งใดจะพูด
และแล้วเพ่ยหนิงก็หมดสิทธิ์จะพูดสิ่งใดจริงๆ
เพราะเฉินเฟิงโอบอุ้มชิงเย่ขึ้นแนบอก ท่าทีคล้ายห่วงใย ก่อนหันหน้ามามองเพ่ยหนิงอย่างเย็นชามากกว่าที่เคย
“เจ้าทำเกินไป เพ่ยหนิง”
เจ้าของนามพลันเบิกตาโพลง มองตามสองร่างเปียกชื้นเคลื่อนกายแนบชิดเข้าเรือนไปด้วยกันอย่างอึ้งๆ
ราตรีมาเยือนหานตงจึงได้ร่ำสุราเคล้าน้ำตาของเพ่ยหนิง
หานตงเลิกคิ้วถาม “เจ้าซาบซึ้งในความรักของผู้อื่นปานนี้”
เพียงเท่านั้น เพ่ยหนิงพลันร้องไห้โฮ
“ไอ๋หยา! อาการหนัก!” พ่อค้าขายผักถึงขั้นทำสิ่งใดไม่ถูก
หลังจากร้องไห้จนน้ำตาเปียกปอนดวงหน้าเปรอะเปื้อนหมดความงาม เพ่ยหนิงจึงพาร่างอ่อนแรงเข้าห้องนอน ปิดประตูลั่นดาลแน่นหนา ขังตัวเองอยู่ในนั้น
สาวน้อยเอาแต่ร้องไห้ ร้องจนเหนื่อยแล้วก็หลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็หิวแต่ก็ไม่ยอมออกไปไหน ร่ำไห้เสียใจต่อ เป็นเช่นนี้สามวันสามคืน โดยมีหานตงคอยส่งข้าวส่งน้ำให้ ประหนึ่งคนด้านในคือนักโทษคุกหลวงรอวันตัดสินประหาร
“วันนี้มีไก่นึ่งบ้วย รีบกินล่ะ ตายไปไม่ได้กินแล้วนะ”
สิ้นเสียงแหบห้วนของบุรุษร่างใหญ่ ถ้วยใส่ข้าวกับไก่จนพูนพลันถูกดึงเข้าห้องไป ไม่นานก็ถูกส่งกลับมาเป็นถ้วยเปล่า
เห็นได้ชัดว่าคนในห้องกำลังหิวโหยปานใด
หานตงแอบหัวเราะหึๆ ให้รู้สึกขบขันเหลือเกิน
เขาแค่แกล้งส่งข้าวช้าไปครึ่งชั่วยามเท่านั้นเอง...
วันต่อมา เพ่ยหนิงจึงได้เวลาออกมานอกห้อง
หญิงสาวก้าวเท้าเนิบๆ แบกใบหน้าอันอิดโรยเดินไปทางแปลงผักหลังเรือนซึ่งแบ่งพื้นดินเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นแปลงดอกไม้ที่นางทะนุถนอมฟูมฟักจนออกดอกบานสะพรั่ง
เพ่ยหนิงเก็บดอกไม้ทั้งหมดมาหอบไว้แนบอกอย่างชอกช้ำ จากนั้นก็ย่ำเท้าทำลายแปลงดอกไม้ทิ้งจนเกลี้ยงไม่มีเหลือ
นางเดินออกจากเรือนตนไปทางเรือนอีกคนด้วยความเร็ว
ครั้นเจอหน้าเฉินเฟิงที่พาร่างสูงเดินมาเปิดประตูเรือนพอดี ดอกไม้ทั้งหมดในมือของเพ่ยหนิงพลันถูกยัดใส่แผงอกหนา
“ข้าตั้งใจปลูกให้ท่าน รับไว้ซะ”
ร่างสูงหอบดอกไม้ไว้แนบอก ก้มมองคนงามนิ่งๆ
เพ่ยหนิงเชิดหน้าเหยียดยิ้ม “นี่คือครั้งสุดท้ายที่ข้าจะมอบดอกไม้ให้ท่าน เพราะข้าจะไม่ปลูกมันให้ท่านอีก”
กล่าวจบก็สะบัดหน้าเดินจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง ทิ้งใครบางคนให้มองตามด้วยสองตาวูบไหว มือกำดอกไม้แน่น