ตอนที่ 10 ยากตัดใจ1
เพ่ยหนิงตัดสินใจกลับสำนักยวี้จู๋ในวันเดียวกัน
หญิงสาวหอบหัวใจแสนบอบช้ำกลับหุบเขาผนึกมารเข้าถ้ำฝึกฝนเคล็ดวิชาอย่างบ้าคลั่ง
กระทั่งท่านตาของนางต้องมาลากตัวกลับสำนัก
“เจ้าจะทำลายถ้ำทั้งหุบเขาไม่ได้นะหนิงเอ๋อร์”
ติงอี้เทา เจ้าสำนักยวี้จู๋ผู้เคยเคี่ยวเข็ญให้หลานสาวฝึกฝน ยามนี้กลับต้องการให้นางอยู่นิ่งๆ อยู่เฉยๆ อยู่อย่างไม่ต้องเสียใจจนกลายร่างเป็นนางมารทำลายล้างสิ่งใดอีกเลย
“หลานตา เจ้าจะเสียดายไปไย ใต้หล้านี้ยังมีบุรุษอีกมาก ที่รอรับความรักบริสุทธิ์จากเจ้า เอาล่ะ! เจ้าลงเขาไปหามาใหม่นะ เอาแบบเก่งกาจสักหน่อย มีวรยุทธ์ยิ่งดี จะได้มาสืบทอดสำนัก”
เพ่ยหนิงถามทั้งน้ำตา “ท่านอยากได้หลานเขยปานนั้น”
ติงอี้เทาลูบเคราขาวกล่าวเสียงขรึม “เจ้าฝึกวิชาดุจปีศาจผุดจากนรกเยี่ยงนั้น...ไม่สมควรอยู่ตัวคนเดียวจริงๆ นั่นล่ะ สมควรมีความรักอย่างยิ่ง”
กล่าวพลางชำเลืองมองลงไปทางหุบเขาเบื้องล่าง ที่ยามนี้ต้นไม้ล้มพังพาบทั้งแถบ ถ้ำมรกตถูกทำลายจนผาหินทลายไม่เหลือ ไหนจะป่าไผ่หยกสุดที่รักอีก....เฮ้อ...
เขาถอนหายใจหนักอกกล่าวเสียงเหนื่อย
“บางทีการมีหลานเขยย่อมดีกว่าปล่อยให้เจ้าอยู่ในสภาพย่ำแย่แบบนี้เป็นแน่ ไปเถอะ ลงเขาไปหาบุรุษคนใหม่ไป”
ติงอี้เทาไม่ไล่ธรรมดายังให้สมุนคัดสรรอาวุธสังหารคล้ายเครื่องประดับสตรีให้พกพาติดกายสะดวก ล่อลวงก็ได้สังหารก็ดี พลางกระซิบเสียงเลือดเย็นว่า
“ครานี้ถูกใจใครก็ตีให้สลบแล้วยกพาดบ่ามาเลยแล้วกัน”
คำสั่งของท่านตาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา บินออกไปไกลแสนไกล เพ่ยหนิงไม่คิดทำตามแน่นอน
ยามนี้หญิงสาวเดินลงเขาเอื่อยเฉื่อยครุ่นคิดในใจเรื่อยเปื่อย
นางกำลังคิดว่าทำไม่ถูก เฉินเฟิงหลงรักผู้อื่นแต่ไร้ใจกับนาง หาใช่ความผิดของเขาไม่ นางไม่สมควรปาดอกไม้ใส่เขาเยี่ยงนั้น ไม่สมควรโกรธเกลียดด้วย
มิอาจเป็นคนรักแต่เป็นสหายก็ได้นี่นา
นางผิดไปแล้ว สมควรไปขอโทษพี่เฉินเฟิงอย่างจริงใจ
เมื่อคิดได้ดังนั้น เพ่ยหนิงจึงเลิกเสียใจ นางเดินทางอย่างกระฉับกระเฉง ใช้วิชาตัวเบากระโดดพุ่งทะยานกายจากต้นไม้หนึ่งไปต้นไม้หนึ่งอย่างปราดเปรียว
ระยะทางจากสำนักยวี้จู๋สู่หมู่บ้านผิงเต๋อค่อนข้างไกล เพ่ยหนิงใช้เวลาหลายวันทีเดียวจึงถึงจุดหนึ่งซึ่งสามารถยืนเพ่งมองจากบนต้นไม้สูงจนเห็นทางเข้าหมู่บ้านได้ลิบๆ
ยืนรับลมเย็นฉ่ำไม่นานหญิงสาวก็กระโจนตัวไปข้างหน้าอย่างว่องไว บางช่วงของการเดินทางนางพลิ้วกายลงมาเบื้องล่างอย่างคล่องแคล่วเพื่อใช้ทางราบเป็นระยะ
ทว่าฝ่าเท้าน้อยๆ ขยับวิ่งไปบนพื้นดินได้ไม่นานเท่าใด สายตาพลันเหลือบเห็นบุรุษชุดดำปิดหน้าผู้หนึ่งนอนอยู่ในพุ่มไม้
เมื่อเดินเข้ามาใกล้จึงเห็นว่าเขานอนหลับตาหายใจสะดุด กลิ่นคาวเลือดตลบคลุ้งไปทั่วร่างหนา กระทั่งคิ้วเข้มและเปลือกตาที่ปิดสนิทยังเต็มไปด้วยสีแดงฉาน ไม่บอกก็รู้ว่าเนื้อตัวภายใต้เสื้อผ้าสีดำที่บดบังมีบาดแผลหรือไม่ ท่าทางบาดเจ็บสาหัสทีเดียว
เพ่ยหนิงไม่รอช้าที่จะตรงเข้าช่วยเหลือ
นางเร่งรุดเข้ามา นั่งย่อตัวที่ข้างกายเขา เลื่อนสายตาประเมินบาดแผลทั่วร่าง แต่ด้วยอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างแกร่งเป็นสีดำ จึงทำให้มองไม่ถนัดถนี่นัก หญิงสาวจึงเอื้อมมือขึ้นหมายสัมผัสบนเรือนกายของเขา จังหวะนั้นบุรุษชุดดำพลันยกฝ่ามือขึ้นขวับรวบข้อมือของนางไว้แน่นทั้งที่ยังหลับตา
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ
ครั้นได้สติ เพ่ยหนิงจึงกระซิบบอกอย่างจริงใจ
“ข้าไม่คิดทำร้าย แค่อยากช่วย”
ชายชุดดำจึงลดมือตัวเองลง กล่าวเสียงแหบพร่า “ห้ามเจ้าเปิดหน้าข้า”
“มิกล้าๆ ข้าเป็นคนมีมารยาท รู้ธรรมเนียมแน่นอน”
หญิงสาวกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ท่านนอนนิ่งๆ”
ครานี้ชายชุดดำจึงเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ และทันทีที่ได้เห็นใบหน้าผู้ช่วยชีวิต เรียวคิ้วเข้มพลันขมวด
ที่แท้เป็นนาง...
ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้ผ้าปิดหน้าเริ่มเครียดขรึม
เพ่ยหนิงไม่อาจอ่านสีหน้าเขาได้เพียงเร่งสำรวจเนื้อตัวบุรุษว่ามีบาดแผลที่ใดบ้าง
ทว่าเสื้อผ้าสีดำสนิทที่กั้นกลางอยู่ล้วนเป็นอุปสรรคใหญ่
“ท่าน ...ข้าเปิดเสื้อได้หรือไม่?”
“ไม่! เจ้า...รีบไปเถิด อย่าอยู่ที่นี่ อย่าช่วยข้า อันตราย”
เสียงบุรุษแหบแห้งดังขึ้นขาดห้วง ฟังไม่ออกว่าเป็นน้ำเสียงแบบใด ทุ้มต่ำน่าฟังหรือไม่? ทว่าวาจาปฏิเสธของเขาทำเพ่ยหนิงต้องเงยหน้าจากการสำรวจบาดแผลแล้วเอียงคอมอง
“พบคนใกล้ตายต่อหน้า ไม่ช่วยได้หรือ?”
นอกจากไม่ฟัง นางยังฉีกเสื้อของบุรุษออกกว้าง ไล่สายตามองบาดแผลฉกรรจ์อย่างไม่นึกหวาดหวั่น
แน่นอนว่าหากเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาทั่วไป เมื่อได้เห็นทั้งบาดแผลน่ากลัวและเลือดสดสีแดงฉานไหลนองเช่นนี้ ล้วนทำให้แม่นางน้อยตกใจหน้าซีดสิ้นสติได้ทันที
ทว่าทั้งหมดกลับไม่มีผลอันใดต่อเพ่ยหนิง สาวน้อยมองนิ่ง พูดจาเสียงกังวานสดใสให้กำลังใจคนใกล้ตายได้มีความหวังขึ้นมา
“ท่านไม่ต้องห่วง ข้าพกพายาดีเยอะเชียว รอดแน่นอน”
ว่าพลางล้วงเข้าสาบเสื้อตนหยิบยาออกมาโรยใส่แผลจนทั่ว ก่อนจะฉีกชายเสื้อด้านในที่คาดว่าสะอาดที่สุดในยามนี้ของตัวเองมาพันรอบกายหนาแน่นแล้วผูกเป็นปมอย่างบรรจง
ทุกกิริยาคล่องแคล่วว่องไวและช่ำชอง
“เสร็จแล้วล่ะ”
กระแสเสียงสดใสของสาวน้อยทำบุรุษที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์เผลอไผลจ้องมองใบหน้านวลเนียนน่ารักน่าชังที่ขยับใกล้ๆ จนได้กลิ่นหอมๆ ของกายสาวต้องหลุดออกมาเจอเข้ากับภาวะความเป็นจริงในขณะนี้ทันที