ตอนที่ 8 เมื่อรักปักใจ1
ย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน ตอนนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มต้นที่เขตชนบทของหมู่บ้านผิงเต๋อ
ริมบึงบัวของสวนร่มรื่นหน้าเรือนชั้นเดียว บุรุษหนุ่มร่างสูงยืนเอามือไพล่หลังนิ่งๆ ท่วงท่าของเขาแม้เรียบเฉยทว่าสง่างามยิ่ง แสงตะวันตกกระทบเรือนกายลากเงาของเขาให้ยิ่งดูสูงเพรียว ยามถูกสายลมไล้แผ่วเงานั้นพลิ้วไหวลู่ไปตามยอดหญ้ายิ่งดูโดดเด่น งดงามจับตา คล้ายคนกำลังเริงระบำอย่างรื่นเริงก็มิปาน หากแต่ช่างขัดกับอากัปกิริยานิ่งสงบเรียบเฉยของเจ้าของเงายิ่งนัก
ที่กล่าวมายังไม่นับรวมกับดวงตาลุ่มลึกสีนิลดำจัดบนใบหน้าหล่อเหลาคมคายแลดูเย็นชาเหนือผู้ใดซึ่งยามนี้ฉายแววครุ่นคิดบางสิ่งตลอดเวลา
เขามีนามว่า...
“พี่เฉินเฟิง”
แม่นางแน่งน้อยผู้มีลักยิ้มข้างแก้มน่ารักน่าชังส่งเสียงสดใสร้องเรียกมาแต่ไกล
“ท่านอยู่ที่นี่นั่นเอง ข้าตามหาตั้งนาน”
หญิงสาวพูดพร้อมรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ นางมีผิวขาวดุจหยกเนื้อดี พิศอีกทียังคล้ายกระเบื้องเคลือบชั้นเลิศ ยามยิ้มจึงดูอ่อนหวานน่ารักผสมผสานความซุกซนอย่างลงตัว
สาวน้อยกะพริบตากลมโตจนแพขนตาเหมือนพัด เอียงคอมองชายตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง พลางขยับแขนที่ซ่อนไว้เบื้องหลังออกมาแล้วยื่นขึ้นเบื้องหน้า
“ให้ท่าน”
เฉินเฟิงปรายตามองดอกไม้ในกำมือนางพลางถอนหายใจ
“ข้าไม่ชอบดอกไม้”
สาวน้อยยังคงยิ้มหวานส่งเสียงอ่อนโยน “แต่ดอกไม้พวกนี้ข้าลงแรงปลูกเองเชียวนะเจ้าคะ”
เฉินเฟิงถอนหายใจอีกครา
“เจ้ากลับไปเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียว”
ถูกไล่อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ หากแต่เพ่ยหนิงกลับคลี่ยิ้ม นางพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ
“อืม...ข้าไปก่อนก็ได้ ไม่รบกวนท่านแล้ว”
ว่าพลางหมุนกายหันไปวางดอกไม้ไว้บนโต๊ะริมสระบัว
“ดอกไม้นี้ข้าให้ท่านแล้ว ไม่เอากลับ ข้าไปแล้วนะ”
เพ่ยหนิงโบกมือลา ขณะเดินจากไปทุกสามก้าวยังหันมายิ้ม
เมื่อเดินออกมาจนพ้นประตูเรือนของชายในดวงใจ หญิงสาวก็มิอาจกักเก็บสีหน้าเศร้าสลดเอาไว้ได้
นางกลั้นน้ำตาก้มหน้าวิ่งกลับเรือนของตนทันที
การเป็นหญิงสาวชนบทอาศัยในหมู่บ้านที่มีเรือนเคียงข้างรั้วติดกันเยี่ยงนี้นับว่าดีไม่น้อย เข้าออกไปมาหาสู่กันได้ง่ายดาย สะดวกสบายนัก
ทว่าที่หนักหนาสาหัสคือบุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนช่างเย็นชาและไร้ใจ
เพ่ยหนิงน้ำตาไหลเป็นทางขณะเดินเข้ามานั่งในห้องโถงของเรือนตน
หานตง เห็นบุตรสาวบุญธรรมมีอาการเสียใจเยี่ยงนั้นก็รีบวางตระกร้าไผ่สานสำหรับใส่ผักกาดไปขายในตลาดลงบนตั่งตัวยาว เดินเข้ามานั่งลงข้างๆ “ถูกปฏิเสธมาอีกแล้วกระมัง?”
เพ่ยหนิงพยักหน้าปาดน้ำตา “เหมือนทุกวันนั่นล่ะ”
หานตงถอนหายใจเสียงดังเฮ้อ...“ไม่เคยเข็ดสินะ”
หญิงสาวเงยหน้าค้อนขวับ กระเง้ากระงอดเสียงปนสะอื้น “ท่านพ่อบุญธรรมกำลังซ้ำเติมข้าใช่หรือไม่?”
บุรุษร่างใหญ่พยักหน้าหนักแน่น “ใช่”
“ท่าน!” เพ่ยหนิงแทบกระอักเลือดแล้ว
หานตงอยากจะหัวเราะให้ดังลั่นอยู่หรอก เพียงแต่เขายังคงเกรงใจ ‘ฐานะที่แท้จริง’ ของอีกฝ่าย จึงทำได้เพียงเอ่ยปากเตือนสติตามตรงอย่างมีเหตุมีผลว่า “เพ่ยหนิงเอ๋ยเพ่ยหนิง แท้จริงเจ้าก็มิใช่ว่าอัปลักษณ์อันใด ออกจะงดงามด้วยซ้ำ หากเฉินเฟิงมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้า เขาคงตอบรับน้ำใจไปแล้ว ไฉนเนิ่นนานหลายเดือนยังไร้ท่าที ไม่มีแม้วี่แววพึงใจรักใคร่อยากสานไมตรีกับเจ้าเล่า”
หญิงสาวปาดน้ำตาทิ้งเงียบๆ ไม่พูดอะไร
หานตงตบไหล่นางอย่างต้องการปลอบประโลม
“เจ้าตัดใจเสียเถิด กลับไปฝึกฝนเคล็ดวิชาของท่านอาจารย์อย่างจริงจังดีกว่า”
เพ่ยหนิงหน้าบึ้งทันที “ท่านกล้าไล่ข้ากลับสำนักยวี้จู๋[1]รึ?”
“อืม...” หานตงไม่เคยส่ายหัวปฏิเสธมีแต่พยักหน้ายอมรับ เขาเอ่ยอย่างจริงใจว่า “ท่านตาของเจ้าย่อมคิดถึงเจ้าแล้วล่ะ”
ท่านตาของเพ่ยหนิงคืออาจารย์ของหานตง
ชายร่างใหญ่ผู้นี้แท้จริงคือจอมยุทธ์ผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย โดยการแฝงตัวเป็นเพียงพ่อค้าขายผักในหมู่บ้านผิงเต๋อแห่งนี้ ส่วนสาวน้อยเพ่ยหนิงแท้จริงคือหลานสาวของเจ้าสำนักยวี้จู๋ ผู้นำแห่งหุบเขาผนึกมาร ซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งในยุทธภพ