แอบมองเธออยู่นะจ้ะ | Ep.4 |
แอบมองเธออยู่นะจ้ะ | Ep.4 |
ผลัก!!
ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเปิดแฟ้มเอกสารบริษัท ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาโดยไร้เสียงเตือน ทำให้แพรพลอยต้องรีบดึงแฟ้มลงเก๊ะอัตโนมัติ เพราะจะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทตัวเองเลย
"หนูแพรพลอย!! หนูกลับมาจากเยอรมันเมื่อไหร่กัน ไม่เห็นบอกลุงเลย"
"ลุงจักรนี่เอง สวัสดีค่ะ แพรพึ่งมาถึงเมื่อวานนี้เอง" เธอยิ้มให้คนมาใหม่ที่แทนตัวเองว่าลุง ร่างอ้วนท้วมหัวล้านกำลังตรงดิ่งมาที่เธอ
จักราช คือพี่ชายของอดิพัชร แต่เขาไม่ใช่พี่แท้ๆ เพราะพ่อของอดิพัชรรับจักราชมาอุปการะตั้งแต่เขาอายุได้สิบกว่าขวบ ที่ผ่านมาจักราชเข้ากับแพรพลอยได้ดีมาตลอดตั้งแต่เธอเด็กๆ ช่วงที่หญิงสาวอยู่เยอรมันเขาก็บินไปเยี่ยมเยียนถึงแม้จะแค่สามสี่ครั้งก็เถอะ ผิดกับอีกคนที่มองแพรพลอยด้วยสายตาเกลียดชังมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่พอมีคนอื่นอยู่ด้วยรอยยิ้มเสแสร้งมากมายกลับผุดขึ้นบนริมฝีปากสีฉูดฉาดแสร้งทำเป็นเอ็นดูเธอซะเหลือเกิน
"ตายแล้วหนูแพรพลอย! ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามาซะนาน ป้าจำแทบไม่ได้ สวยขึ้นเป็นกองเลยนะจ้ะ" นั่นไง นึกถึงก็เดินกรีดยิ้มกว้างเข้ามาหาเธอสีหน้าเบิกบานเชียว
ป้าตรี หรือ คุณนายตรีสมร เป็นภรรยาของจักราช แพรพลอยมองออกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าตรีสมรเป็นพวกชอบสร้างภาพต่อหน้าคนเยอะๆ หญิงสาวจึงไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับคำเยินยอของอีกฝ่าย แต่ในเมื่อคุณป้าฉีกยิ้มทักทายมา เธอเลยต้องกรีดยิ้มหวานส่งสายตาร้ายลึกกลับไปให้อย่างไม่คิดจะเลี่ยง
"แพรก็ต้องสวยให้เหมือนคุณแม่ยังไงล่ะคะ จะได้มีผู้ชายรวยๆ มาชายตามองเหมือนที่ป้าตรีเคยบอก"
'แม่แกมันก็มีดีแค่ความสวยเท่านั้นแหละ คนรวยๆ อย่างคุณอดิพัชรเขาถึงได้ชายตามอง!'
...เธอยังจำประโยคนี้ได้ดีไม่เคยลืม
ตรีสมรหน้าถอดสีเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ของนังเด็กเมื่อวานซืน ไม่คิดว่าประโยคที่เคยพูดเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนจะย้อนมาเข้าหูอีกครั้ง หล่อนชักสีหน้าใส่แล้วเชิดหน้าหนีไปทางอื่นทันทีเพราะไม่จำเป็นต้องเสแสร้งเป็นคุณป้าที่แสนดีต่อหน้าคนในห้องนี้ ตัวสามีเองก็รู้มานานแล้วว่าหล่อนไม่ชอบนังเด็กปากดีนี่ อีกอย่างแพรพลอยก็โตเกินกว่าที่จะเชื่อการกระทำนิสัยสร้างภาพไปวันๆ ของหล่อนอีกต่อไปแล้ว
"เอาล่ะๆ พึ่งจะได้เจอกันแท้ๆ ไม่เห็นต้องทำให้บรรยากาศตึงเครียดเลย คุณนี่ก็!..." ประโยคหลังจักราชหันไปพูดกับภรรยา ซึ่งหล่อนก็ได้แต่ยืนสะบัดสะบิ้งไม่ยอมคลายสีหน้าลง
ครู่หนึ่งจักราชมองเลยภรรยาไปที่ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ริมหน้าต่างหันหลังให้คนในห้อง ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน รู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับเสี้ยวหน้าหล่อเหลานั่น แต่จักราชก็ไม่คิดจะสนใจหันกลับไปหาหลานสาวต่อ คงเป็นบอดี้การ์ดธรรมดาคนนึงที่หลานสาวจ้างมาดูแล
"ได้ข่าวว่าเธอมีปัญหาด้านสุขภาพไม่ใช่เหรอ ทุกวันนี้ยังใช้เครื่องช่วยฟังอยู่ไหมล่ะหืม?" จู่ๆ คนที่ยืนกอดอกหน้าบอกบุญไม่รับก็หันกลับมาถามหญิงสาวที่คุยจ้ออยู่กับสามี รอยยิ้มร้ายกาจผุดขึ้นบนใบหน้าที่แต่งแต้มหนาเตอะด้วยเครื่องสำอางราคาแพง
แพรพลอยลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเกี่ยวเส้นผมสีน้ำตาลหม่นเทาขึ้นทัดหู โชว์เครื่องช่วยฟังที่ใส่อยู่ให้ตรีสมรได้ดูเต็มๆ ตา แล้วฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดีให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเธอไม่ได้ซีเรียสอะไรกับมัน "ขอบคุณป้าตรีที่เป็นห่วงนะคะ แต่การบริหารงานต่างๆ ในทุกๆ บริษัทแพรคิดว่าผู้คนส่วนมากใช้สมอง! มากกว่าหูนะคะ"
".....!" เมื่อโดนแพรพลอยกระแทกแดกดันใส่ ตรีสมรก็ชักสีหน้าอย่างไม่สบอารมณ์กว่าเดิม
...นังเด็กนี่มันร้ายขึ้นทุกวัน รู้งี้น่าจะแอบตีให้ตายไปตั้งแต่ตอนกระดูกยังอ่อน ตอนนี้คงทำอะไรมันไม่ได้แล้ว
"อ่ะฮ่าๆๆ งั้น...ลุงกับป้าไม่รบกวนหนูแพรพลอยดีกว่า มีอะไรก็ไปหาลุงได้นะ ลุงอยู่ถัดลงไปจากชั้นนี้เอง" จักราชรีบหัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มมาคุ
"ได้ค่ะ ไว้แพรจะไปหานะคะ มีข้อมูลหลายอย่างเลยที่ต้องไหว้วานคุณลุงมาช่วยแนะนำ"
"โอเคๆ งั้นลุงไปก่อนนะ"
"ค่ะ" เรียวปากบางฉีกยิ้มกว้างให้จักราชแล้วปรายหางตาจิกตรีสมรที่รีบเดินกระแทกเท้านำหน้าสามีออกไปเสมือนมีไฟรนก้นก็ไม่ปาน เมื่อทั้งคู่ออกไปแล้ว แพรพลอยก็ถึงกับต้องถอนหายใจออกมา "เฮ้อ!"
"มีปัญหาอะไรก็ไปถามอาสิทธิ์สิ ไม่ใช่ว่าอาสิทธิ์น่าจะรู้งานมากกว่าเหรอ?" เสียงทุ้มเรียบดังขึ้นทันทีที่เสียงถอนหายใจของหญิงสาวจบลง
"ถามลุงจักรก็ได้เหมือนกันนั่นแหละค่ะ ลุงจักรเองก็อยู่บริษัทนี้มานาน" พูดไปมือก็เริ่มเปิดเอกสารดูไปด้วย
ภูผาไม่รู้จะพูดอะไรต่อเพราะสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดมันคือการคาดเดาโดยไร้หลักฐาน ความไม่ถูกชะตากับจักราชบวกอคติที่มีต่อสองผัวเมียคู่นั้นไม่อาจใช้เป็นหลักฐานได้ว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุเมื่อยี่สิบปีก่อน ยิ่งเห็นหญิงสาวดูจะไว้เนื้อเชื่อใจบุคคลที่เรียกว่าลุงมาก การที่จะออกปากเตือนให้อยู่ห่างจากสองคนนั้นจึงต้องปัดทิ้งไปก่อน
งั้นก็หาเหตุผลขึ้นมาเองจะเป็นไรไป
"ยังไงอาสิทธิ์ก็รู้งานคุณลุงดีกว่าลุงจักร อีกอย่าง...ท่านกำชับพี่มาว่าให้น้องแพรเรียนรู้งานจากอาสิทธิ์เท่านั้น" พูดไปก็หลบดวงตาคู่สวยคู่นั้นไปด้วย ถ้าไม่เลิ่กลั่กภูผาเองก็นับว่าเป็นคนที่โกหกได้เนียนคนหนึ่ง
แพรพลอยกลอกตาใส่ให้กับคำสั่งไร้สาระนั่น ก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆ "ค่ะ"
หญิงสาวรับปากแบบส่งๆ แอบหงุดหงิดด้วยที่ต้องทำตามคำสั่งของคนนู้นคนนี้ แม้จะเป็นบิดาก็เถอะ เพราะที่ผ่านมาแพรพลอยมักจะเชื่อในความคิดของตัวเอง แต่นี่ดันเป็นเรื่องงาน ถ้ามัวแต่ถือตัวเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่บริษัทก็เจ๊งกันพอดี
ร่างบางนั่งปิดปากหาวแล้วหาวอีกอ่านข้อมูลในเอกสารวนไปวนมาจนตัวหนังสือจะออกมาตีกันยุ่งอยู่แล้ว พอเอามือขึ้นมาเท้าคางสายตาก็ทอดมองผ่านเอกสารเลยไปหาคนที่นั่งอยู่บนโซฟาโดยอัตโนมัติ
...เขาช่างโตมาอย่างมีคุณภาพจริงๆ หล่อแบบไม่ให้เกียรติเทพบุตรบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เลย
ริมฝีปากอวบอิ่มเปรยยิ้มออกมาทีละนิดอย่างไม่รู้ตัว เส้นผมดูมีวอลลุ่มสีเทาควันบุหรี่นั่นช่างแบดบอยกระชากใจเธอซะจริง จมูกโด่งเป็นสันราวกับเอามีดไปจี้คอหมอที่เก่งที่สุดให้ผ่าตัดทำให้ รับกับริมฝีปากหยักลึกสีแดงธรรมชาตินั่นอีก
...โอ๊ย! พี่ผาของเธอช่างหล่อเร้าใจอะไรขนาดนี้ หล่อแบบตะโกนมาก
จังหวะที่หญิงสาวกำลังฉีกยิ้มหวานส่งสายตาคลั่งรักไปให้ ดวงตาคมก็ตวัดมองกลับมาพร้อมกับเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อ
"นั่งดูงานอยู่นี่ห้ามไปซนที่ไหนนะ เดี๋ยวพี่มา"
"....!" เสี้ยววินาทีที่เห็นดวงตาคมรีมีเสน่ห์คู่นั้นมองมา แพรพลอยก็สะดุ้งเก็บปากเก็บมือโดยอัตโนมัติ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ทันได้เห็นท่าทางคลั่งรักของเธอ
"อ๋อ...ค่ะ" ใบหน้าสวยเรียบนิ่งไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปสบตากับชายหนุ่ม และทำทีว่าสนใจเอกสารตรงหน้ามาก ตั้งใจอ่านแบบสุดๆ
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ได้ซักไซร้ถามอะไร ภูผาจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินผ่านหน้าแพรพลอยไปเปิดประตูออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
พอเห็นชายหนุ่มเงียบหายไป แพรพลอยก็ถึงกับต้องพ่นลมหายใจออกมา ถ้าเขาเห็นท่าทางของเธอเมื่อครู่ เกรงว่าจะถูกพูดจาเหน็บแนมใส่อีก คำพูดที่มาพร้อมสายตาเย็นชา เห็นแล้วปวดใจยังไงไม่รู้