ตอนที่ ๑๒ คำมั่น
.
.
“ เราได้ให้คำมั่นกับนางไว้ หากพบพระองค์ เราจักช่วยพระองค์แลพระมเหสีออกไป ” กษัตริย์อสุราพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าพญาครุฑตรงหน้าจ้องมองตนนิ่งไม่ขยับ
“ ให้คำมั่น เช่นนั้นหรือ?” พญาครุฑเอ่ยถาม
“ เช่นนั้น กระหม่อม ” กษัตริย์อสุราตอบน้ำเสียงเรียบ
“ เพลานี้ เรายังไปมิได้ดอกหนา ” พระอนันตะเวหาถอนหายใจออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น
“.....”
กษัตริย์อสุราได้ยินเช่นนั้น ก็มีสีหน้าแปลกใจขึ้นมาทันที ก่อนพญาครุฑตรงหน้าจะพูดต่อ
“ แม้พระตำหนักทองแห่งนี้ อนุชาของเราจักร่ายคาถาม่านอาคมเอาไว้ พญาครุฑเช่นเรา หากจักออกไป เมื่อใดก็ย่อมได้ ”
“....”
“ แต่มิมีครุฑีตนไหนจักผ่านไปได้ดอกหนา เราจักมิยอมออกไปไหนเป็นอันขาด หากมิมีชายาของเราไปด้วย ” พระอนันตะเวหาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดพร้อมกับสีหน้าจริงจัง มือหนาเอื้อมกอบกุมมือของสินิลตาเอาไว้แน่นก่อนสายตาจะจ้องมองสบตากันนิ่ง
ความจริงแล้วพญาครุฑอย่างพระอนันตะเวหาสามารถผ่านม่านอาคมได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยความรักที่มีต่อชายาของตน พระองค์จึงยอมถูกจองจำเพื่อจักได้อยู่กับชายา
“ ม่านอาคมเพียงแค่นี้ ขวางเรามิได้ดอกหนา เราจักทำลายเสียให้สิ้น เพลานี้ก็ย่อมได้” กษัตริย์อสุราพูดขึ้น
“ เรายังไปไหนมิได้ดอกหนาพระสุวรรณเมฆา เหล่าครุฑที่ยังจงรักภักดีกับเรายังมีมิน้อยหนา แลเรากำลังรวบรวมไพร่พล”
“.....”
“ หากเรายังให้อนุชาปกครองเมืองเวหาศต่อไป อาณาจักรแห่งนี้ จักลุกเป็นไฟหนา ”
“ เช่นนั้น จักให้เราบอกกับธิดาของพระองค์อย่างไรเล่า หากพระองค์มิออกไปกับเรา ” กษัตริย์อสุราเอ่ยถาม
“ บอกความจริงกับนางไปเถิดหนา นิศามณีจักต้องเข้าใจ ”
“.....” กษัตริย์อสุราก้มพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ เราขอฝาก นิศามณีไว้กับท่านก่อนจักได้หรือไม่ เราจักอยู่ชำระสะสางเรื่องในเมืองครุฑ เมื่อทวงคืนอาณาจักรกลับมาแล้ว เราจักไปรับนางด้วยตนเองหนา ”
“.....”
“ เราจักขอคำมั่นจากท่าน ได้หรือไม่พระสุวรรณเมฆา ?” พระอนันตะเวหาเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายตาอ้อนวอนรอคำตอบ อย่างที่ไม่เคยทำกับผู้ใดมาก่อน
“ เราให้คำมั่น ว่าจักดูแลธิดาของพระองค์เป็นอย่างดี แลจักมิให้ทหารครุฑาตนไหนของพระสุบินได้เข้าใกล้นางเป็นอันขาด ” กษัตริย์อสุราให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“ เราขอบใจพระองค์เหลือเกิน ที่เอ็นดูนิศามณีธิดาของเรา บุญคุณนี้ เราจักมิมีวันลืม ”
“.....” กษัตริย์อสุราก้มโน้มศีรษะลงช้า ๆ อย่างอ่อนน้อม
หลังให้คำมั่นกับพระอนันตะเวหา กษัตริย์อสุราก็กลับลงมาพนาราพณ์อาณาจักแห่งยักษ์ทันที
.
.
“ เหตุใดท่านพี่จักต้องฝากนิศามณีไว้กับยักษ์ด้วยเล่าเจ้าคะ?น้องรู้สึกห่วงลูกเหลือเกิน ” สินิลตาเอ่ยถามพระสวามีสีหน้าที่เคร่งเครียดเพราะความห่วงใยธิดาของตน จะให้ไปอยู่กับยักษ์ทั้งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
“ นี่เจ้ามองมิออกรึน้องพี่ หรือว่าเจ้ามิได้มอง สินิลตา ”
“.....”
“ เพลาที่กษัตริย์อสุราตนนั้นเอ่ยถึงนิศามณี ดวงตาเป็นประกาย ในแววตาเต็มไปด้วยความปรารถนา ”
“ เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ท่านพี่ยังจักฝากลูกกับกษัตริย์ตนนั้นอีกหรือเจ้าคะ?” สินิลตาถามออกมาด้วยสีหน้าตกใจที่ได้ยินพระสวามีพูดเช่นนั้น และไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ทำ รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังจะฝากลูกของตนไว้กับผู้ที่ปรารถนาในตัวนาง
“ เขาเป็นกษัตริย์ สินิลตา แลกษัตริย์ตนนั้นได้ให้คำมั่นกับเราแล้ว ว่าจักดูแลนิศามณีเป็นอย่างดี ”
“ แต่ว่า...”
“ เจ้ามิต้องกังวลไปดอกหนา หลังทวงคืนอาณาจักร เราจักไปรับนิศามณีกลับมา....อีกมินานพระราชสาส์นคงจักถึงมือกษัตริย์เมืองสินธุ เมืองครุฑแดนทักษิณเป็นแน่ ”
“.....”
สินิลตาหมดคำที่จะพูดกับพระสวามีอีก เนื่องจากพระสวามีเชื่อมั่นพระองค์เหลือเกิน สินิลตากลับหวาดหวั่นในใจ กลัวว่าทหารครุฑาที่พระองค์ ให้ส่งพระราชสาส์นนั้นจะไม่ถึงเมืองสินธุ แต่ไม่กล้าที่จะพูดออกมา
.
.
.
.
“ นางนอนแล้วใช่หรือไม่?” กษัตริย์อสุราเอ่ยถามพนาลีทันทีเมื่อมาถึงหน้าห้องบรรทม
“ พึ่งจักบรรทมไป เมื่อครู่นี้เองเพคะ ” พนาลีตอบกษัตริย์ของตน
“.....” กษัตริย์อสุรา พยักหน้าเบาๆก่อนจะหันหลัง เพื่อจะเดินกลับห้องหับของตน
“ เอ่อ...พระองค์เพคะ...เอ่อ ” ยังไม่ทันที่พระสุวรรณเมฆาจะได้ก้าวเท้าพนาลีก็พูดขึ้น
“ มีอันใด?” กษัตริย์อสุราเอ่ยถามทันใดเมื่อหันกลับมา พนาลีจึงได้เล่าสิ่งที่ครุฑีน้อยไถ่ถามหลายๆเรื่องให้กษัตริย์อสุราของตนรับรู้
“ แล้วเจ้าตอบนางไปว่ากระไร ” กษัตริย์อสุราถามพร้อมกับดวงตาเพ่งมองเขม็ง
“ หม่อมฉันมิได้ตอบคำถามของพระธิดาเพคะ บอกแต่เพียง....”
“ แต่เพียงอันใดเล่าพนาลี?” กษัตริย์อสุราเอ่ยถามสวนขึ้นอย่างรีบร้อน ก่อนที่พนาลีจะทันได้พูด
“ หม่อมฉันบอกแต่เพียงว่า พระองค์มิมีพระชายาแลมิมีพระมเหสีเพคะ” พนาลีรีบตอบทันทีเมื่อเห็นสีหน้ารีบร้อนของกษัตริย์ของตน
“ ดีแล้วพนาลี ที่เจ้าตอบนางไปเช่นนั้น ” เมื่อได้ยินที่พนาลีตอบเพียงเท่านั้น กษัตริย์อสุรายิ้มออกมาอย่างพอใจก่อนจะพูดขึ้น
“ เพคะ แต่หม่อมฉันจักหลีกเลี่ยงตอบคำถามพระธิดา ได้อีกนานแค่ไหนเพคะ? ทรงช่างสงสัยใคร่รู้เสียจริงเพคะองค์เหนือหัว ” พนาลีพูดขึ้นเมื่อคิดว่าครุฑีน้อยจะต้องหาเรื่องต่างๆมาไถ่ถามตนอีกเป็นแน่
“ เจ้าก็ตอบนาง เท่าที่จักตอบได้เพียงเท่านั้น สิ่งไหนมิควรจักตอบ เจ้าก็บอกให้นางมาถามเราเองอย่างที่เจ้าบอกนางเช่นนั้น นางจักได้มิกล้าถามเจ้าอีก ” กษัตริย์อสุราบอกพนาลีเช่นนั้นก่อนจะเดินกลับห้องหับของตน
“ เพคะองค์เหนือหัว” พนาลีขานตอบตามหลังกษัตริย์ที่กำลังเดินออกไป
.
.
.
.
แสงแดดอ่อนของเช้าวันใหม่สาดส่องเข้ามา ครุฑีตัวน้อยพลิกกายไปมาก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ
“ทรงตื่นแล้วหรือเพคะ พระธิดาจักสรงน้ำเลยหรือไม่เพคะ หรือจักเพียงแค่สรงพระพักตร์เพคะ?” พนาลีเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นว่าครุฑีน้อยบนพระแท่นกำลังลุกขึ้นนั่ง
“เมื่อคืนข้าหลับไปตอนไหน มิรู้ตัวเลย แล้วองค์เหนือหัวของเจ้ากลับมาเพลาใดพนาลี? ”
แล้วก็เป็นเช่นเคยที่เวลาพนาลีถามอะไรครุฑีน้อยไป มักจะไม่ได้คำตอบ แล้วยังถามกลับเสียอีก ก่อนพนาลีจะถอนหายใจออกมา
๐๐๐๐๐๐๐
