ตอนที่ ๑๑ ม่านอาคม
.
.
“ จากที่เราได้ยินทั้งคู่พูดคุยกัน คงจักใช่เป็นแน่ ” กษัตริย์อสุราตอบ
“ แต่เหตุใดยังอยู่ในพระตำหนักเหลืองทองอร่ามงามตาเช่นนี้พะยะค่ะ” มนทกเอ่ยถามขึ้นมา
“ นั่นสิ เหตุไฉนมิถูกจองจำเล่าพะยะค่ะ ” อินสูรย์ถามต่อด้วยความสงสัย
“ หึ.. เช่นนั้น พวกเจ้าลองบินเข้าไปข้างในตำหนักนั่นดู ” กษัตริย์อสุราแค่นหัวเราะเบาๆ กับความสงสัยใคร่รู้ของสองทหารอสุรา ก่อนจะรับสั่งให้ทั้งคู่บินเข้าไปข้างในพระตำหนักทองตรงหน้า
“ พะยะค่ะ องค์เหนือหัว ” อินสูรย์และมนทกขานรักพระบัญชาพร้อมกันก่อนจะกระพือปีกน้อยบิน มุ่งตรงไปทางหน้าต่างพระตำหนักทองตรงหน้า ที่พระอนันตะเวหาทรงยืนอยู่
ปึ่ก! ปึ่ก!
ตุ่บ! ตุ่บ!
“ โอ๊ย!! ” นกน้อย 2 ตัวบินชนเข้ากับม่านอาคมอย่างแรงก่อนจะร่วงลงสู่พื้นจนเกิดเสียงดัง
“ หึ...ทีนี้รู้แล้วใช่หรือไม่? ว่าไฉนพระองค์ถึงยังอยู่ในพระตำหนักทอง ” พระสุวรรณเมฆาหัวเราะเบาๆก่อนจะพูดขึ้น
“ กระหม่อมรู้แล้วพะยะค่ะ โอ๊ย! ไม่น่าเลย เพราะเจ้านั่นแหละมนทก ที่ถามพระองค์ ” อินสูรย์พูดขึ้น
“ ไฉนมาโทษข้าเล่า เจ้าก็ถามพระองค์เช่นกัน มิใช่หรืออินสูรย์ ” มนทกตอบสวนกลับไปทันใด
แต่ทว่าเสียงที่นกน้อยบินชนกับม่านอาคม เกิดเสียงดังไม่น้อย พระอนันตะเวหาและพระมเหสีก็ได้ยินเช่นเดียวกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปดูทางหน้าต่างพระตำหนัก
เห็นนกน้อยเพียงสามตัวที่บินอยู่ตรงด้านนอกหน้าต่างของพระตำหนักและยังส่งเสียงจิ๊บจั๊บไม่หยุด
“ นกน้อยอย่างนั้นหรือ? เป็นไปมิได้ ที่นกตัวน้อยเช่นนี้จักบินขึ้นมาถึงคีรีลอยฟ้า! ผู้ใดกันหนา ที่จักจำแลงกายได้เช่นนี้ ” พระอนันตะเวหาเอ่ยขึ้นด้วยความข้องใจ ก่อนจะจ้องมองไปยังนกน้อยสามตัวนั้นด้วยแววตาครุ่นคิด
“ พระองค์คงใคร่รู้จักเรา แล้วกระมัง ”
พระสุวรรณเมฆาพูดขึ้นเมื่อเห็นดวงตาสีชาดของพญาครุฑ จ้องมองมายังตนที่ยังอยู่ในร่างนกน้อยอย่างสงสัยใคร่รู้
“ แล้วองค์เหนือหัวจักทำเช่นไรพะยะค่ะ ” อินสูรย์ถาม
“ พวกเจ้าบินตามหลังเรามา แลอย่าได้ห่างจากกายเรามากนัก ” กษัตริย์อสุราพูดขึ้นก่อนจะกระพือปีกบิน
“ พะยะค่ะ” อินสูรย์และมนทกรีบขานรับก่อนจะบินตามกษัตริย์ของตนไปติด ๆ
พระอนันตะเวหาเพ่งมองไปยังนกน้อยทั้งสาม แล้วพระองค์ก็ต้องชะงักทันใด เมื่อเพลานี้นกน้อยทั้งสามกำลังบินผ่านม่านอาคมเข้ามาอย่างเชื่องช้า
พระอนันตะเวหาและสินิลตา ก้าวเท้าถอยหลังช้า ๆ ดวงตายังคงจับจ้องไปที่นกน้อย ที่บัดนี้ได้ผ่านม่านอาคมเข้ามาด้านในแล้ว
ดวงตาสีชาดจับจ้องที่นกน้อยทั้งสามไม่กระพริบ สินิลตาจับพระหัสต์ของสวามีไว้นั่นด้วยใจหวาดหวั่น ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้าง เมื่อนกน้อยสามตัวตรงหน้านั้น ได้กลายร่างแท้จริงให้เห็นว่าเป็นยักษ์
กษัตริย์อสุรายืนผงาด ในขณะที่อินสูรย์และมนทกขยับกายลงนั่งหมอบกับพื้นขนาบข้างกายกษัตริย์ของตน พระอนันตะเวหาและพระสุวรรณเมฆา สองกษัตริย์จ้องมองหน้ากันสบตากันนิ่ง
“ ท่านคือผู้ใด?” พระอนันตะเวหาเพ่งมองกษัตริย์อสุราผู้เป็นนาย ก็พอที่จะมองออก ว่านี่คงไม่ใช่ยักษ์ธรรมดา ธรรมดาทั่วไปเป็นแน่ ก่อนจะเอ่ยถามออกมา
“ เราคือกษัตริย์ของเมืองพนาราพณ์ เมืองแห่งยักษ์ที่อยู่เบื้องล่างมิไกลนี้ มีนามว่าพระสุวรรณเมฆา ”
“.....”
“ แลท่าน คือพระอนันตะเวหา กษัตริย์ของเมืองเวหาศใช่หรือไม่? ” พระสุวรรณเมฆาตอบคำถามพญาครุฑก่อนจะเอ่ยถาม
“ เพลานี้ เรามิใช่กษัตริย์แล้วหนา พระสุวรรณเมฆา”
“....”
“ บัดนี้พระสุบิน อนุชาของเราได้สถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แล้วท่านรู้หรือไม่? ” พระอนันตะเวหาตอบก่อนที่จะถามกลับไป
“........” พระสุวรรณเมฆาโน้มพระเศียรลงเบา ๆ เป็นคำตอบ
“ แลท่าน มาที่นี่ด้วยเหตุอันใดกัน?” พญาครุฑเอ่ยถามอีกครั้ง
“ ธิดาของท่าน.... ”
“ ธิดาของเรา! นิศามณีอย่างนั้นหรือ? ” พระอนันตะเวหาเอ่ยถามสวนขึ้น ก่อนที่กษัตริย์อสุราจะทันได้เอ่ยจบ เพียงเพราะได้ยินกษัตริย์อสุราเอ่ยถึงธิดาของตน
“.....” พระสุวรรณเมฆา พยักหน้าตอบ
“ ท่านคือยักษ์ที่เหล่าทหารครุฑากล่าวถึง ว่าช่วยเหลือนิศามณีธิดาของเราใช่หรือไม่?” พระอนันตะเวหารีบเอ่ยถามทันทีด้วยใจห่วงธิดาของตนยิ่ง
พญาครุฑเพ่งมองพระสุวรรณเมฆา พลันคิดว่ากษัตริย์อสุราตนนี้ ช่างรูปงามนัก ทั้งรูปร่างหน้าตา และผิวพรรณ ดูงดงามดั่งองค์เทพก็มิปาน
หากแต่มีเขี้ยวน้อยที่โผล่มาและลวดลายกนกตรงมุมปากทั้งสองข้าง หากมิมีเขี้ยวและลวดลายกนกนั้น อาจจะคิดว่าเป็นองค์เทพเทวาที่มาจากศิวโลกก็เป็นได้
“ เป็นเช่นนั้น กระหม่อม ” พระสุวรรณเมฆาตอบ
“ นางเป็นเช่นไรบ้าง ” สินิลตาเอ่ยถามขึ้นในทันทีด้วยความเป็นห่วงธิดาสาว
“ ธิดาของท่านได้รับบาดเจ็บ ถูกพระแสงหอกซัดเข้าที่ปีก ก่อนที่เราจักได้ช่วยเหลือ ” พระสุวรรณเมฆาตอบด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ โธ่ นิศามณีลูกแม่!” สินิลตาพูดออกมาด้วยสีหน้าตกใจ ม่านน้ำตาก่อตัวขึ้นทันใดก่อนที่จะไหลรินออกมา
“ แล้วเพลานี้นิศามณีเป็นอย่างไรบ้าง?” พระอนันตะเวหาเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ ท่านทั้งสอง มิต้องห่วงดอกหนา เรารักษาเยียวยานางเป็นอย่างดี แลมิให้นางต้องเจ็บปวดแม้แต่น้อย ” พระสุวรรณเมฆาพูดขึ้นพร้อมนัยน์ตาที่ฉายแววเอ็นดูออกมา เมื่อใบหน้าครุฑีน้อยปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างชัดเจน
“.....”
เมื่อได้ยินพระสุวรรณเมฆาเอ่ยมาเช่นนั้น พระอนันตะเวหา จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีนิลที่เป็นบุรุษเพศเช่นเดียวกันนิ่ง
แล้วพระองค์ก็ประจักษ์ได้ในทันใด ว่ากษัตริย์อสุราตนนี้ คงจักต้องตาต้องใจธิดาของตนเข้าแล้ว
๐๐๐๐๐๐๐
