๔ หนีไม่พ้น
๔
หนีไม่พ้น
ภวินท์รู้สึกโมโหอย่างมากเมื่อพ่อของเขามาบอกเรื่องที่เขาต้องไปสอนพิเศษ ถ้าเป็นปกติเขาคงจะดีใจแต่คราวนี้มันกลับตรงกันข้าม เขาไม่ได้อยากข้องเกี่ยวใดๆ กับยัยคุณหนูนั่นสักนิด แต่เขาก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ในเมื่อพ่อของเขารับปากไปแล้ว ภวินท์นึกอยากปฏิเสธไปแต่ติดอยู่ตรงที่พ่อของเขาถึงอย่างไรพ่อของยัยคุณหนูนั่นก็เคยมีบุญคุณกับพ่อของเขาทำให้เขาปฏิเสธไม่ออก
ภวินท์มาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ในตอนสายของวันเสาร์
“คุณไก่ใช่ไหมคะ” สาวใช้เดินมาถามเมื่อเห็นเขามาถึง
“ครับ”
“เชิญทางนี้ค่ะคุณหนูรออยู่” เธอบอกก่อนจะเดินนำหน้าเขาไป
ภีรดากำลังนั่งรออยู่ในห้องซึ่งถูกจัดไว้สำหรับให้เธอเรียนพิเศษโดยเฉพาะ เธอแอบหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นภวินท์เดินเข้ามา เขามองหน้าเธอแค่นิดเดียวก่อนจะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“มาช้าจังนะคะ” เธอเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนหลังจากอยู่กันตามลำพังสองคน
“ถ้าเลือกได้ก็คงไม่มา” เขาตอบอย่างเคร่งขรึม
ภีรดารู้สึกคอแข็งขึ้นมาทันทีกับคำพูดที่ไม่คิดจะรักษาน้ำใจของเขา
“ถึงนายจะไม่อยากมาแต่ก็ต้องมาสอนฉันอยู่ดี” ภีรดาเริ่มตอบโต้ความเย็นชาและหยิ่งผยองของเขาบ้าง
“แล้วคุณจะให้ผมสอนอะไร”
“สอนทุกอย่าง” ภีรดาเริ่มลอยหน้าลอยตาพูดกับเขา
ภวินท์ถอนหายใจออกมา
“ผมก็ว่าอย่างนั้น”
ภีรดาแทบสะอึกเมื่อเขาพูดราวกับดูถูกว่าเธอโง่ซะเต็มประดา
“ฉันไม่ได้เก่งเหมือนนายนี่”
“พ่อแม่ส่งให้ไปเรียนที่โรงเรียนแล้วทำไมต้องมาเรียนที่บ้านอีก” เธออึ้งสนิทกับประโยคนั้นของเขา เห็นเงียบๆ ที่ไหนได้ปากจัดเป็นบ้า
เขาหยุดเถียงกับเธอแล้วเริ่มสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้เธอก่อน แรกๆ ภีรดาก็ตั้งใจเรียน บางครั้งเธอก็แกล้งทำเป็นวิชาการ ถามนู่นถามนี่เกี่ยวกับเรื่องเรียนซึ่งภวินท์ก็ให้คำปรึกษาเป็นอย่างดี
เวลาผ่านไปสองชั่วโมงคนที่ทำท่าตั้งใจเรียนแต่แรกก็ออกอาการง่วงนอนและหาวติดๆ กันหลายครั้ง
“นี่คุณ” เขาเรียกเธอเสียงเข้ม
“อะไร”
“นี่เพิ่งจะสองชั่วโมงเองนะ”
“ก็คนมันง่วงนี่”
“ถ้ายังไม่ตั้งใจแบบนี้ก็หาคนอื่นมาสอนเถอะ” น้ำเสียงเขาดุดันจริงจัง
“ก็ได้ๆ ฉันขอโทษ” เธออ่อนข้อให้เขา เมื่อเห็นเขาทำท่าดุใส่เธอ
“ผมไม่ได้อยากจะเอาเวลาของผมมาเสียไปเปล่าๆ แบบนี้”
“เลิกบ่นได้แล้ว ฉันสัญญาว่าจะตั้งใจ” ภีรดาพูดอย่างจริงจังเพราะท่าทีของเขาทำให้เธอหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
เขาส่ายหัวนิดๆ ก่อนจะเริ่มสอนเธอต่อ ภีรดาตั้งใจเรียนอย่างจริงจังในคราวนี้ เพราะเธอไม่แน่ใจว่าหากเธอยังคิดจะวอกแวกอีกเธอก็ไม่รู้ว่าจะเจอความดุระดับไหน
“พักก่อนแล้วกัน” เขาบอกหลังจากที่เห็นท่าทางอิดโรยของเธอเมื่อเวลาผ่านไปสามชั่วโมง
“ฉันไหว”
“จะฝืนไปทำไม” เขาทำเสียงดุใส่เธออีกรอบ
“คนหน้าหิน” ภีรดาบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนนะยิ้มนิดๆ เมื่อหันไปเห็นขนมของโปรดที่สาวใช้ยากมาให้
ภีรดาหยิบมาใส่ปากและเคี้ยวมันเหมือนกับอร่อยมากมาย
“อร่อยที่สุดเลย อ่ะชิมดู” เธอพร้อมกับยื่นจานขนมมาตรงหน้าเขา
“ไม่” เขาปฏิเสธ
“ทานนะคะ” เธอพูดเสียงนิ่มๆ กับเขาเป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมง
“ผมไม่หิว” เสียงเขายังคงเรียบเฉย แต่ภีรดาไม่ยอมแพ้เธอหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้นและทำท่าจะป้อนเขา ภวินท์รีบปัดมือเธอออกอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าเธอจะจู่โจมเขาแบบนี้ ขนมชิ้นนั้นตกกระเด็นไปตามแรงมือของเขา
ภีรดาหน้าซีดลงไปกับตา ท่าทางขี้เล่นสดใสเมื่อครู่นี้เปลี่ยนไปทันที
“ฉันขอโทษ” เธอบอกแค่นั้นก่อนจะหันกลับไปนิ่งกินขนมเงียบๆ คนเดียว เขายืนมองผลงานตัวเองอย่างหงุดหงิดเขารู้สึกแปลกๆ เวลายัยคุณหนูนั่นเงียบแบบนี้
“จะเรียนต่อไหม” เขาถามหลังจากที่เธอกินขนมเสร็จแล้ว
“เรียน” เธอตอบสั้นๆ
“แต่ผมว่าเอาไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน วันหลังผมจะมาสอนใหม่” เขาบอกก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นไป
ภวินท์รู้สึกหงุดหงิดตัวเองอย่างบอกไม่ถูกในระหว่างนั่งรถกลับบ้านเพราะหน้าซีดๆ ของภีรดาตามมารบกวนจิตใจเขา เขาไม่ชอบเลยสักนิดที่เห็นเธอทำท่าเงียบๆ แบบนั้นเพราะปกติยัยคุณหนูนั่นจะร่าเริงสดใสอยู่ตลอดเวลา
“พี่ไก่ไปสอนเป็นยังไงบ้างพิม” วราลีถามเมื่อเจอกันในวันเปิดเรียนวันจันทร์
“ก็ดี ไหมก็รู้นี่ว่าเขาเก่ง”
“เดี๋ยวถ้าว่างไหมจะไปติวให้อีกนะ”
“ขอบใจจ้ะเพื่อนรัก” ภีรดาหันไปบอกวราลีก่อนที่ทั้งสองจะชวนกันเข้าเรียน
วันนี้ภีรดากลับบ้านเร็วกว่าทุกวันเพราะพ่อแม่ของเธอเป็นผู้มารับไม่ใช่ ภีรวัจน์เหมือนเช่นทุกวัน วราลีส่งภีรดาขึ้นรถก่อนแล้วเดินไปยังป้ายรถเมล์เพื่อรอรถ วันนี้เป็นอีกวันที่ภวินท์ไม่ได้มารับเธอ เสียงแตรรถดังขึ้นในระหว่างที่เธอกำลังเดินใกล้จะถึงป้ายรถเมล์เธอหันไปมองเห็นรถคุ้นตา จึงรีบสาวเท้าไวๆ เพื่อให้พ้นจากเขา
ภีรวัจน์จอดรถและรีบเดินตามเธอมา
“ขึ้นรถเดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่ไปค่ะ”
“จะไปดีๆ หรือจะให้ใช้กำลัง”
“อย่ามาวางอำนาจแถวนี้นะ”
“ไหมคงอยากจะขายหน้าคนทั้งป้ายรถเมล์ใช่ไหม” เขาขู่
“คนบ้า” เธอแหวใส่เขาก่อนจะหันไปมองที่ป้ายรถเมล์ ตอนนี้สายตาหลายๆ คู่กำลังจับจ้องมาที่เธอและเขาอย่างสนใจ
“ผมเตือนเป็นครั้งสุดท้าย” เขาทำท่าจะประชิดตัวทำให้วราลีต้องรีบเดินไปขึ้นรถเขาเพื่อหลบให้พ้นสายตาอยากรู้อยากคนอื่นๆ
“ทำไมเงียบจัง” เขาถามเมื่อขับรถออกมาได้สักพัก
“ก็ไม่มีอะไรจะพูดนี่คะ” เธอยังคงหน้าบึ้งตึงเพราะไม่พอใจที่ถูกเขาบังคับแบบนั้น
“กลัวผมเหรอ”
“ไม่อยากเข้าใกล้” เธอสวนกลับไปทันที
“กลัวอะไร กลัวใจตัวเองอย่างนั้นเหรอ” เขาพูดเหมือนรู้ทัน
“ไหมไม่ใช่สาวๆ ของพี่จะได้กลัวใจตัวเอง”
“หึ หึ แล้วเมื่อไหร่จะเลิกทำหน้าบึ้งๆ เสียที”
“ทำไม”
“ไม่ชอบ ถ้าไม่อยากเจอดีน่ะ เลิกหน้าบึ้งเสียที”
“เจอดีอะไรไม่ทราบ”
“ก็ลองไม่หายดูสิ เดี๋ยวก็รู้ ถ้าก่อนจะถึงบ้านยังหน้างออยู่ล่ะก็...” เขาไม่ยอมพูดต่อ
“ก็อะไร”
“ช่างเถอะ เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”
“ไม่ มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง”
“พูดอย่างนี้เหมือนท้าทาย”
เขาหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทาง วราลีมองอย่างระแวง
“พี่เคนจะทำอะไร” เธอเริ่มโวยวาย
“ก็อยากจะทบทวนความจำให้ไหมหน่อย”
“ไม่นะ” เธอรีบระล่ำระลักปฏิเสธ
“ปากกล้าขนาดนี้ คงจะลืมไปแล้วล่ะสิว่ารสจูบของผมเป็นยังไง”
“ไหมขอโทษ” เสียงเธอเริ่มอ่อนลงเมื่อเขาทำท่าจะคุกคามเธอ
“ง่ายไปมั้ง มาบอกอะไรตอนนี้” เขายังคงไม่ยอม
“ไหมขอโทษจริงๆ”
“บอกมากี่ครั้งแล้วล่ะ รู้สึกยังไงเวลาพูดมา”
“พี่เคนอย่าทำท่าแบบนี้ได้ไหม ไหมกลัว”
“รู้จักกลัวบ้างก็ดีสาวน้อย คราวหลังจะได้ไม่ท้าทายผมอีก”
เขาทำท่าจะก้มลงจูบเธอ วราลีได้แต่หลับตานิ่งและเกร็งกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อรู้สึกว่ารถเริ่มวิ่งอีกครั้ง เธอหันไปมองเขาอย่างงงๆ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้านิ่งๆ เธอก็แอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก