

บทที่ 3
รอบข้างเงียบเชียบไปหมด จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะระลอกหนึ่งขึ้นมา
เรื่องนี้น่าจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของแคว้นเทียนหนิง ถึงกับให้เจ้าสาวมาใหม่พรุ่งนี้ เมื่อก่อนไม่เคยมีใครเป็นแบบนี้ ต่อไปก็คงไม่มีใครเป็นแบบนี้เช่นกัน!
พวกแขกที่อยู่รอบข้างหัวเราะกันจนท้องแข็ง แม้แต่กลุ่มญาติที่มาส่งตัวเจ้าสาวก็ยังมีคนหลุดขำไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นใครก็เจอเรื่องแบบนี้ครั้งแรกเหมือนกัน
ในเกี้ยวเจ้าสาว หานหยุนซีที่สงบนิ่งมาตลอดในที่สุดก็ค่อย ๆ หรี่ตาทั้งคู่ลง จวนอ๋องฉิน รังแกกันเกินไปแล้วนะ!
แม่สื่อหวังวิ่งกลับมาด้วยความผิดหวัง แล้วพูดทอดถอนใจขึ้นว่า “โธ่เอ๊ย ซวยจริง ๆ ข้าเป็นแม่สื่อมานานหลายปี ยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย! กลับ กลับ รีบกลับกันได้แล้ว!”
แต่ว่า ในตอนที่คนหามเกี้ยวยกเกี้ยวขึ้นมาอีกครั้งนั้น เสียงเข้มงวดของหานหยุนซีก็ดังขึ้นมาคำหนึ่ง “เดี๋ยวก่อน!”
เอ่อ……
เสียงใครพูด?
ผู้คนหยุดนิ่งไป จ้องมองไปรอบข้าง ก็หาคนพูดไม่เจอ
“แม่สื่อหวัง รบกวนท่านช่วยไปถามให้หน่อย พรุ่งนี้ให้มาเวลาไหน?” หานหยุนซีเปิดปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงสงบนิ่งแต่กลับแฝงความน่ายำเกรงที่ไม่อาจมองข้ามได้ เสียงไม่ดังมาก แต่กลับทำให้ผู้คนรอบได้ยินอย่างชัดเจน
ชั่วขณะหนึ่งผู้คนต่างพากันมองมาทางเกี้ยวเจ้าสาวอย่างเหลือเชื่อ นี่หานหยุนซีเป็นคนพูดจริง ๆ หรือ? ในสถานการณ์แบบนี้ นางควรจะแอบร้องไห้อยู่ไม่ใช่หรือ? แต่ยังกล้าพูดจาอีก ที่สำคัญยังพูดเสียงดังมากขนาดนั้นอีก?
“แม่สื่อหวัง ท่านยังมัวแต่อึ้งอยู่อีกทำไม? หรือจะให้ข้าทวงถามความรับผิดชอบที่ท่านนำทางผิดหรือ?” หานหยุนซียังคงพูดเสียงแข็ง
แม่สื่อหวังไม่ทันคาดคิด ตกใจจนสะดุ้ง! นำทางผิดนั้นเป็นคำสั่งของไท่เฟย แน่นอนว่าจวนอ๋องฉินไม่มีทางเอาผิดนาง แต่ว่า ถ้าตระกูลหานเอาผิดขึ้นมานางก็ต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่นอน พอถึงตอนนั้น ไท่เฟยต้องไม่มีทางปกป้องนางแน่
ทำไมจู่ ๆ หานหยุนซีถึงเปลี่ยนเป็นเก่งกาจขึ้นมา?
แม่สื่อหวังไม่มีเวลาสนใจอะไรมากขนาดนั้น รีบตอบรับขึ้นว่า “เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ คุณหนูรอสักครู่นะเจ้าคะ!”
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!” คราวนี้เคาะประตูไม่อ่อนโยนแล้ว
ยังคงเป็นบ่าวชราคนนั้นมาเปิดประตูเล็กด้านข้าง “ทำไม บอกให้พวกท่านมาใหม่พรุ่งนี้ไม่เข้าใจหรือ?”
“เจ้าสาวให้มาถามว่าพรุ่งนี้ให้มาเวลาไหน! รบกวนช่วยไปรายงานไท่เฟยให้หน่อย” แม่สื่อหวังอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
บ่าวชรารู้สึกแปลกใจ เจ้าสาวคนนี้ช่างมีความหมายจริง ๆ “งั้นก็รอเดี๋ยว”
ในศาลาสวนดอกไม้ด้านหลังจวนอ๋อง อี๋ไท่เฟยกำลังเล่นไพ่นกกระจอกกับพวกฮูหยินสูงศักดิ์ทั้งหลายอยู่ โดยไม่เห็นเรื่องแต่งลูกสะใภ้อยู่ในสายตาเลย
ตั้งแต่ฮ่องเต้มาดูแลราชการเอง ไท่เฟยหลายคนที่อดีตฮ่องเต้ทิ้งเอาไว้ คนที่ตายก็ตายไป คนที่เฝ้าสุสานก็เฝ้าสุสานไป มีแต่อี๋ไท่เฟยที่แม่ลูกปลอดภัย ไม่มีคนกล้าแตะต้อง แม้แต่ไทเฮาก็ยังต้องคอยเกรงใจนาง เมื่อสามปีก่อนบอกว่าอยู่ในวังแล้วอุดอู้ ก็เลยย้ายมาอยู่จวนอ๋องกับลูกชาย
สาวใช้งอตัวเดินเข้ามา มาก้มหัวกระซิบข้างหูนางว่า “นายหญิง เจ้าสาวถามว่าพรุ่งนี้จะให้มาเวลาไหนเจ้าค่ะ?”
มือที่กำลังจะทิ้งไพ่ของอี๋ไท่เฟยนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วหันหน้าไป “เจ้าว่าใครถามนะ?”
“เจ้า……เจ้าสาวเจ้าค่ะ” สาวใช้ยังคงตอบเสียงเบากลับไป
“ใจกล้าไม่เบาเลยนี่!” อี๋ไท่เฟยรู้สึกเบื่อหน่าย เพียงแต่กำลังยุ่งกับการเล่นไพ่อยู่จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก ก็เลยตอบไปคำหนึ่งว่า “ยังคงเป็นยามซื่อ”
ถามเวลาให้ชัดเจนแล้วยังไง เดี๋ยวมาพรุ่งนี้ ก็ยังจะให้นางมาสายอีก
“ยามซื่อ” แม่สื่อหวังนำคำมาบอกกล่าวที่เกี้ยวเจ้าสาว
ใครจะไปรู้ว่าหานหยุนซีกลับตอบมาสี่คำอย่างเย็นชาว่า “รออยู่ที่เดิม”
ผู้คนรอบข้างต่างก็รู้สึกถึงความผิดปกติของคุณหนูหานคนนี้แล้ว แต่แม่สื่อหวังกลับร้องตะโกนเสียงดัง อย่างไม่มีความคิดขึ้นว่า “อะไรนะ?”
“เจ้าสาวจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ พวกเราจะมากั้นประตูบ้านคนอื่นไม่ได้นะ? เดี๋ยวจะถูกหัวเราะเยาะเอา ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่มีหลักการแบบนี้ มีที่ไหนมารอแต่งงานถึงหน้าบ้านคนอื่น?”
“ก็ท่านเป็นคนบอกว่าห้ามเดินย้อนกลับนี่ ทำไม ท่านจะแช่งข้าให้ถูกหย่าแล้วส่งกลับบ้านหรือ?” หานหยุนซีถามเสียงเย็นขึ้นมา
นี่มันคำพูดของแม่สื่อหวังเมื่อกี้ไม่ใช่หรือ? แม่สื่อหวังรู้สึกหมดคำพูดไปเลย
“คนที่รอไม่ไหวก็ไปก่อนได้เลย กลับไปถึงบ้านตระกูลหานแล้วไม่ได้รับเงินค่าจ้างก็ไม่ต้องมาหาข้า” หานหยุนซีเอ่ยเตือนไปด้วยความหวังดี
ผู้คนมองสบตากัน ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าสาวเก่งกาจมากยิ่งขึ้น ใครยังจะกล้าไปอีก จึงได้แต่นั่งรออยู่ที่เดิม นั่งรอไปพร้อมกับเจ้าสาว
แม่สื่อหวังเห็นแบบนี้ ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง ก็เลยได้แต่นั่งลงข้างเกี้ยวเจ้าสาว นางอยากเปิดผ้าม่านที่ห้อยย้อยลงมาดูสภาพเจ้าสาวสักหน่อย ว่าเป็นอย่างที่เขาเล่าลือกันว่าอัปลักษณ์มาก และขี้ขลาดกับชอบโทษตัวเองจริง ๆ หรือเปล่า? คงไม่ได้เปลี่ยนคนไปหรอกนะ?
พอลังเลไปครู่หนึ่ง แม่สื่อหวังก็ยื่นมือไปอย่างหวาดระแวง……
