ตอนที่ 3
ใช่หล่อนเห็น และก็เห็นด้วยว่าผู้ชายที่เพื่อนรักคลั่งไคล้ไม่ได้แสดงท่าทางสนใจไยดีอะไรนาบุญเลย แถมยังทำตาเจ้าชู้มายังหล่อนอีกต่างหาก ผู้ชายคนนี้ไม่คู่ควรกับเด็กสาวไร้เดียงสาอย่างนาบุญเลยแม้แต่นิดเดียว
‘แล้วหล่อนจะทำยังไงล่ะ จะทำยังไงดีที่จะสามารถแยกนาบุญออกจากพี่พุทธได้ ขนาดปู่ของนาบุญยังทำไม่สำเร็จเลย’
ภิญญาพัชฌ์พยายามคิดหาทางเพื่อช่วยเหลือเพื่อน พยายามคิดแล้วคิดอีกแต่สมองตอนนี้ตันชะมัด ก็คงต้องโทษไอ้เสียงเพลงบ้าบอ ที่มันช่างดังอื้ออึง
“นิ่มว่าพี่พุทธเขาต้องมีใจให้กับนิ่มบ้างแล้วล่ะ”
ไม่มีประโยชน์ที่จะไปขัดขวางความคิดของนาบุญในตอนนี้ สิ่งที่ดีสุดที่หล่อนควรจะต้องรีบทำในตอนนี้ก็คือ การพานาบุญออกไปจากสถานที่อโคจรแห่งนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะถูกพวกเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งหลายที่กำลังจ้องมองมาที่โต๊ะของหล่อนกับนาบุญหิ้วไปทำมิดีมิร้าย
“อืม...น่าจะใช่นะ”
“นี่ภิญก็คิดว่าพี่พุทธมีใจให้นิ่มเหมือนกันใช่ไหม”
ภิญญาพัชฌ์ไม่มีทางเลือก จึงได้แต่พยักหน้ารับ
“ใช่ ภิญก็คิดแบบนั้นแหละ”
นาบุญระบายยิ้มกว้างออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนสาว นัยน์ตาหวานฉ่ำที่มีแพขนตายาวงอนสุกสกาวดุจดวงดารากลางท้องนภายิ่งนัก ภิญญาพัชฌ์มองอย่างชื่นชม และรีบฉวยโอกาสทองนี้ไว้ในทันที
“ถ้าหายเศร้าแล้วกลับบ้านกันนะนิ่ม นะดึกแล้ว”
“แต่นิ่มยังไม่อยากกลับนี่”
นาบุญยังดื้อดึง แต่คราวนี้ภิญญาพัชฌ์ไม่คิดจะยอมแพ้อีกแล้ว ต่อให้ต้องใช้ช้างมาฉุดนาบุญออกไป หล่อนก็จะทำ
“พี่พุทธเขาจะคิดยังไงถ้ารู้ว่านิ่มมาเมาหัวราน้ำอยู่ที่นี่ คิดดูนะนิ่ม ถ้าพี่พุทธรู้ เขาอาจจะไม่สนใจนิ่มอีกเลยก็ได้”
ได้ผลชะงัดนัก เมื่อนาบุญวางแก้วเหล้า พร้อมกับเอ่ยถามหล่อนด้วยความกังวลใจเต็มเปี่ยม
“จริงเหรอภิญ พี่พุทธเขาจะไม่ชอบนิ่มเหรอถ้ารู้ว่านิ่มมาเมาแบบนี้”
ภิญญาพัชฌ์พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อเพื่อกระตุ้นเร้าให้นาบุญเร่งกลับบ้าน
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่มีผู้ชายที่ไหนชอบผู้หญิงเมาแบบนางเมรีหรอกนะ แม้แต่พี่พุทธก็ตาม”
“แต่ถึงพี่พุทธจะชอบนิ่ม แต่นิ่มก็ต้องแต่งงานกับคนอื่นอยู่ดี”
“ไม่ต้องคิดมากนะนิ่ม ภิญสัญญาว่าจะช่วยทำให้นิ่มสมหวังกับพี่พุทธ จะทำทุกอย่างเพื่อให้นิ่มได้สมรักกับคนที่ตัวเองรัก”
ภิญญาพัชฌ์วางมือของตนเองลงบนมือนุ่มนิ่มแบบคนที่ไม่เคยทำงานหนักมาก่อนเลยในชีวิตของนาบุญ บีบแรงๆ อย่างให้กำลังใจ
“ไว้ใจภิญนะนิ่ม”
นาบุญยิ้มกว้าง มองเพื่อนรักอย่างขอบคุณ แม้ภิญญาพัชฌ์จะยังไม่ได้พูดออกมาว่าจะช่วยตนยังไง แต่นาบุญก็มั่นใจในสมองที่ฉลาดเป็นกรดของเพื่อนคนนี้เต็มร้อย
“นิ่มไว้ใจภิญ ขอบใจมากนะภิญ”
“ถ้าไว้ใจภิญก็ออกไปจากที่นี่กันเถอะ ดึกมากแล้ว”
นาบุญไม่อิดออดอีก หญิงสาวควักธนบัตรสีเทาปึกใหญ่ออกมาวางบนโต๊ะเป็นค่าอาหารและเครื่องดื่ม พลางลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไป แต่คราวนี้เป็นภิญญาพัชฌ์ที่เป็นฝ่ายรั้งร่างของนาบุญเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสินิ่ม”
“ว่าไง เปลี่ยนใจอยากอยู่ต่อเหรอ”
สาวน้อยที่อยู่ในอาการมึนเมาหันมายิ้มแพรวพราว ภิญญาพัชฌ์รีบส่ายหน้าดิก ก่อนจะชี้มือไปที่เงินปึกใหญ่ซึ่งมันน่าจะเกินค่าอาหารอยู่มากโขเลยทีเดียว
นาบุญมองตามนิ้วเรียวของเพื่อนรักไปแล้วก็ระบายยิ้มออกมา
“เงินเหรอ? ทำไมล่ะ ก็ค่าเหล้าไง”
“แต่มันมากเกินไปนะนิ่ม เราควรจะอยู่รอเงินทอนก่อน”
เจ้าของเงินส่ายหน้าดิก แสดงนิสัยผู้ที่เกิดบนกองเงินกองทองออกมา
“เล็กน้อยน่า ถือว่าเป็นทิปให้กับเด็กเสิร์ฟก็แล้วกัน ไปภิญ นิ่มง่วงแล้ว”
“มันมากไปนิ่ม รอเงินทอนก่อน”
ด้วยความที่ต้องปากกัดตีนถีบมาตลอดชีวิตทำให้ภิญญาพัชฌ์เห็นค่าของเงินมากกว่าคุณหนูไฮโซแสนเอาแต่ใจอย่างนาบุญ
ความจริงหล่อนไม่เคยคิดจะคบหากับนาบุญเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยความสงสารเพราะเห็นว่านาบุญเข้ากับใครไม่ได้ ซึ่งเป็นเพราะความเอาแต่ใจมหาศาลที่เจ้าตัวแสดงออกมาทุกครั้งเมื่อต้องการอยากได้อะไร แต่พอคบเข้าจริงๆ หล่อนถึงได้รู้ว่าเนื้อแท้แล้วนาบุญนั้นไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย ตรงกันข้ามแม่คุณเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร แถมยังอ่อนไหวได้อย่างง่ายดายอีกต่างหาก แต่ข้อดีพวกนี้มันถูกกลบทับไว้ด้วยความอวดดีและถือตัวจนมิดเลยทีเดียว
“นั่งรอก่อนนิ่ม”
คนเมาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากทำตามคำสั่งของเพื่อนรัก เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่หล่อนมีในมหาวิทยาลัย
“เจ้าค่ะเสด็จแม่”
นาบุญเย้าด้วยน้ำเสียงเมามาย กำลังจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้แต่แล้วก็ต้องชะงักงันเมื่อเสียงวี้ดว้ายของบรรดานักเที่ยวดังก้องขึ้น พร้อมๆ กับเสียงเข้มทรงอำนาจของนายตำรวจเกือบยี่สิบนายที่กรูกันเข้ามาภายในไนต์คลับแห่งนี้
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทุกคนจงอยู่ในความสงบ” นายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งพูดผ่านโทรโข่งออกมาเสียงดังกังวาน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะภิญ ทำไม?”
คนเมาหายเมาเป็นปลิดทิ้ง ใบหน้าที่เคยแดงก่ำเพราะพิษแอลกอฮอล์ซีดขาวราวกับกระดาษ ขณะที่ไฟในไนต์คลับก็สว่างพึ่บขึ้นพร้อมๆ กับนักเที่ยวที่ถูกต้อนเรียงแถวออกไปทีละคน
“เราลำบากแล้วล่ะนิ่ม”
“ไม่นะ นิ่มกลัวจังเลยภิญ เราจะทำยังไงดี” นาบุญกอดเพื่อนรักเอาไว้แน่น
ภิญญาพัชฌ์ถอนใจออกมาด้วยความกังวล นึกออกเลยว่าตัวเองกับนาบุญจะต้องมีชะตากรรมเช่นไร ในเมื่อหล่อนกับเพื่อนพึ่งจะก้าวข้ามวัยสิบเก้าปีมาแค่ไม่ห้าหกเดือนเท่านั้นเอง แล้วที่หน้าไนต์คลับก็ติดเอาไว้ว่าต้องอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ขึ้นไปถึงจะมีสิทธิ์เข้ามาในที่แห่งนี้ได้ คราวนี้อำนาจเงินก็คงปิดปากตำรวจเหมือนกับที่นาบุญยัดเงินให้กับคนตรวจบัตรประชาชนหน้าไนต์คลับไม่ได้แน่
“เราทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะนิ่ม คืนนี้คงต้องนอนโรงพัก”
“ไม่นะ นิ่มไม่อยากเข้าห้องขัง นิ่มไม่ยอม แล้ว...พรุ่งนี้มีสอบเช้าด้วย” นาบุญส่ายหน้าดิก น้ำตาซึม พลางนึกถึงคุณปู่ของตนเองขึ้นมาทันที
“นิ่มจะโทรหาคุณปู่”
นาบุญยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มทันควัน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนกับปู่กำลังอยู่ในช่วงทำสงครามประสาทกันอยู่
ภิญญาพัชฌ์เห็นเพื่อนหุบยิ้มก็รู้ทันทีว่านาบุญกำลังคิดอะไรอยู่ เดาได้เลยว่านาบุญไม่มีทางยอมลดทิฐิโทรหาคุณปู่แน่นอน และมันก็จริงดั่งคิด
“นิ่มไม่คุยกับคุณปู่มาเกือบเดือนแล้วนี่”
“ถ้านิ่มไม่ลดทิฐิ คืนนี้นิ่มจะต้องนอนในห้องขังนะ แล้วก็จะไม่ได้ไปสอบด้วย”
นาบุญส่ายหน้าทันควัน ก่อนจะพูดต่อด้วยความถือดี
“นิ่มยอมลำบาก ยอมติดเอฟ แต่นิ่มจะไม่ยอมแพ้คุณปู่เด็ดขาด”
ภิญญาพัชฌ์ถอนใจออกมาแรงๆ ในใจรู้สึกผิดต่อผู้เป็นยายเหลือเกิน ใช่...หล่อนเองก็ไม่มีหน้าโทรไปหายายแฉล้มเหมือนกัน เพราะหากท่านรู้ ท่านคงร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันจะไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดก็ตาม
“นิ่ม เข้าแถวเร็ว แล้วเดินไปข้างนอก พยายามก้มหน้าอย่าสบตากับตำรวจนะ”
ภิญญาพัชฌ์ร้องบอกเพื่อนให้เดินต่อแถวออกไป พลางนึกภาวนาขอให้ตำรวจมองข้ามพวกหล่อนไป เพราะหากแค่ตรวจฉี่หาสารเสพติด หล่อนกับนาบุญรอดอยู่แล้วเพราะไม่ได้ใช้ แต่หากถูกตรวจบัตรละก็ เสร็จแน่
แต่ก็เหมือนสวรรค์แกล้ง เมื่อตำรวจอ้วนพุงพลุ้ยคนหนึ่งเรียกให้หล่อนกับนาบุญหยุดเดิน และเรียกขอดูบัตรประชาชน
“สองคนนี้หน้าละอ่อนเหลือเกิน อายุไม่น่าถึงยี่สิบ ไหนขอดูบัตรประชาชนหน่อยสิ”
“เอ่อ...” นาบุญถูกเรียกขอดูบัตรก็อึกอัก หันมามองภิญญาพัชฌ์อย่างขอความช่วยเหลือ
“พวกหนูถึงยี่สิบแล้วค่ะ ถึงแล้วจริงๆ”
ภิญญาพัชฌ์พยายามเอาตัวรอด แต่ครั้งนี้ไม่ได้ผลเลย เพราะนายตำรวจอ้วนคนนั้นกระชากกระเป๋าสะพายของนาบุญเอาไปรื้อค้นจนเจอบัตรประชาชน
“ไหนว่าอายุยี่สิบไง” ตำรวจชูบัตรประชาชนของนาบุญขึ้น
“คือว่า...”
“นี่พึ่งจะสิบเก้ามาได้แค่ห้าเดือนเอง อย่างนี้ต้องถูกข้อหาให้การเท็จต่อเจ้าหน้าที่อีกกระทงหนึ่งด้วย”
นาบุญหน้าซีดเผือด หันไปมองภิญญาพัชฌ์ ก็เห็นว่าเพื่อนรักมีสีหน้าไม่ต่างกันเลย
“คือ...คุณตำรวจคะ ปล่อยพวกหนูไปเถอะนะคะ พวกหนูพึ่งมาครั้งแรก คราวหน้าจะไม่ทำอีก”
นายตำรวจคนเดิมไม่ฟัง ขณะก้มหน้าลงอ่านชื่อและนามสกุลของนาบุญ
“นาบุญ โชติวรรธนา...” ตำรวจคนเดิมทำท่าครุ่นคิด ขณะทวนนามสกุลของนาบุญอีกครั้ง และทำตาโตเท่าไข่ห่าน
“โชติวรรธนา นี่มันนามสกุลของท่านเนาว์นี่ อย่าบอกนะว่าเธอเป็น...”
“หนูเป็นหลานสาวของท่านเนาว์ โชติวรรธนาค่ะ”
นาบุญเห็นท่าทางเบิกตากว้างของนายตำรวจก็พอจะเข้าใจว่าชื่อของคุณปู่มีผลต่อคู่สนทนามากมายแค่ไหน อย่างนี้ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์
“ทีนี้ปล่อยพวกเราไปได้หรือยังคะ”
แม้จะอยากจับแม่สาวน้อยตรงหน้าขังแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลอันดับต้นๆ ของเมืองไทยอย่างเนาว์ โชติวรรธนา
“ปล่อยแน่ แต่ไม่ใช่พวกเรา เป็นหนูคนเดียว” นายตำรวจพยักหน้ามาทางนาบุญ
“รีบไปซะ และหวังว่าจะไม่มีครั้งหน้านะแม่หนู”
นาบุญหันไปมองภิญญาพัชฌ์ด้วยความกังวลใจ หล่อนไม่มีทางไปไหนแน่หากเพื่อนของตนเองยังตกอยู่ในสภาพคับขันแบบนี้
“ต้องปล่อยเพื่อนหนูด้วย เรามาด้วยกัน”
“ไม่ได้...รีบไปซะ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ” นายตำรวจยศสัญญาบัตรยืนกรานเสียงแข็ง
“ไม่ค่ะ หนูไม่ไป” นาบุญเชิดหน้า จ้องหน้าคู่สนทนาเขม็ง
“ถ้าไม่ปล่อยเพื่อนหนู รับรองว่าคุณปู่ต้องเล่นงานคุณแน่”
“ไม่เอาน่านิ่ม ไปเถอะ ภิญไม่เป็นไรหรอก” ภิญญาพัชฌ์พยายามห้ามปรามเพื่อน หล่อนรู้ดีว่านายตำรวจตรงหน้าทำตามหน้าที่
“ไม่นะภิญ เราต้องไปด้วยกัน ภิญไม่ผิดสักหน่อย คนที่ผิดคือนิ่มต่างหาก และอีกอย่างภิญมีสอบพรุ่งนี้เช้าเหมือนกับนิ่มไม่ใช่เหรอ”
นาบุญหันมาจ้องหน้าเพื่อนรักที่ตอนนี้หน้าเศร้าหมองด้วยความละอายใจ หล่อนไม่น่าดื้อดึงมาเที่ยวในสถานที่แบบนี้เลย ไม่น่าเลยจริงๆ ดูสิทำเพื่อนรักเดือดร้อนจนได้
“ภิญไม่เป็นไรจริงๆ นิ่มรีบไปเถอะ พรุ่งนี้เช้าเขาก็คงปล่อยตัว...”
“แต่นิ่มทิ้งภิญไม่ได้ ทิ้งไม่ได้เข้าใจไหม!” นาบุญน้ำตาทะลักออกมา ภิญญาพัชฌ์ดึงเพื่อนเข้ามากอดเอาไว้ ปลอบเบาๆ ที่ข้างหู
“นิ่มไม่ได้ทิ้งภิญหรอกนะ อย่าคิดมากแบบนั้น ต้นทุนชีวิตของนิ่มสูงกว่าภิญมาก หากนิ่มถูกจับ หนังสือพิมพ์จะต้องลงข่าวหน้าหนึ่งเลยทีเดียว แล้วคุณปู่ก็จะต้องเสียชื่อ แต่ภิญไม่เสียหายอะไร ภิญไม่ใช่หลานสาวของนักธุรกิจชื่อดัง ไม่มีใครสนใจภิญหรอก ไปนะนิ่ม รีบไปเถอะ”
ยิ่งภิญญาพัชฌ์แสนดีมากเท่าไร นาบุญก็ยิ่งละอายใจมากเท่านั้น
“แต่ภิญจะไปสอบไม่ทันนะ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นภิญก็รู้อยู่เต็มอกนี่”
ภิญญาพัชฌ์รู้ดีว่านาบุญห่วงหล่อนแค่ไหน แต่ยังไงซะหล่อนก็ไม่มีทางลากนาบุญมาเปื้อนกลิ่นโคลนด้วยแน่ ในเมื่อนาบุญมีทางรอดแล้วแบบนี้
“ภิญรู้จ้ะนิ่ม แต่ถ้านิ่มไม่ไป แล้วใครจะโทรไปบอกคุณดิมให้มารับตัวภิญกลับบ้านกันล่ะ เชื่อภิญเถอะ ไปซะ”
นาบุญเบิกตากว้างทั้งๆ ที่น้ำตายังเต็มหน้าอยู่
“ให้นิ่มโทรหาคุณดิมเหรอ แต่ความจริงนิ่มให้คุณปู่มาเซ็นชื่อเป็นผู้ปกครองรับภิญกลับเองก็ได้นี่” นาบุญรู้ดีว่าภิญญาพัชฌ์ไม่ต้องการให้ยายแฉล้มรู้จึงไม่เอ่ยถึงท่าน
“ภิญไม่อยากให้นิ่มมีข่าวไม่ดี ให้คุณดิมมารับตัวภิญน่ะดีแล้ว”
ความจริงหล่อนไม่อยากจะรบกวนดิมิเทรียสเลยแม้แต่น้อย แต่หากไม่ทำอย่างนี้ นาบุญไม่มีทางยอมทิ้งหล่อนไว้คนเดียวแน่
นาบุญใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนรัก
“ได้...เดี๋ยวนิ่มจะรีบโทรหาคุณดิมให้เลย ภิญรอนิ่มไม่นานนะ รอนิ่มแป๊บเดียว”
ภิญญาพัชฌ์ฝืนยิ้มบางๆ มอบให้เพื่อน
“ขอบคุณมากนิ่ม งั้นนิ่มก็รีบออกไปจากไนต์คลับเถอะนะ รีบกลับไปบ้าน ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วภิญรบกวนนิ่มแก้ตัวกับยายให้ด้วยนะ”
“เรื่องยายไม่ต้องห่วงนะภิญ นิ่มจะไม่ยอมให้ยายต้องมากังวลใจเพราะสิ่งที่นิ่มทำอย่างแน่นอน ภิญรอนิ่มไม่นานนะ นิ่มจะรีบโทรตามให้คุณดิมมาช่วยภิญ”
“ขอบใจมากนิ่ม” ภิญญาพัชฌ์ซ่อนน้ำตาเอาไว้
“จะขอบใจทำไมกันภิญ ในเมื่อนิ่มเป็นคนทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ที่ภิญต้องมาลำบากก็เพราะนิ่ม ดังนั้นภิญอย่าขอบใจนิ่มเลย”
นาบุญกอดเพื่อนรักอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเดินหายออกไปจากไนต์คลับ ภิญญาพัชฌ์มองตามไปด้วยสายตาเป็นกังวล ขณะถูกต้อนออกไปขึ้นรถของตำรวจที่จอดรออยู่ด้านหน้า
ตอนนี้ดิมิเทรียสอยู่ต่างประเทศ กำลังฮันนีมูนกับภรรยาอยู่ คงอีกหลายวันกว่าหล่อนจะได้กลับไปหายาย และก็คงไปสอบไม่ทัน
น้ำตาที่ซ่อนเอาไว้ไหลออกมาอาบแก้ม มือบางรีบป้ายทิ้งอย่างรวดเร็ว ความโศกเศร้าหดหู่เข้าครอบงำหัวใจเมื่อสมองจินตนาการภาพอนาคตเบื้องหน้าเอาไว้อย่างชัดเจน