บทที่ 2 (1)
แม่เลี้ยงรดาวางหูโทรศัพท์ลง หลังจากเอ่ยขู่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทั้งสองเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เอ่ยบอกคนที่นั่งเฝ้ารออยากรู้เรื่องของฝาแฝดใจจะขาด นั่นก็คือลุงสนกับลุงชาญ
“อีกสามวัน ฝาแฝดสุดแสบจะกลับบ้าน”
“อีกสามวันหรือครับ” ลุงสนเอ่ยถามซ้ำราวกับได้ยินไม่ชัดเจน
และแม่เลี้ยงรดาก็พยักหน้ารับคำ เอ่ยย้ำคำตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งความขบขำ “ใช่ค่ะ อีกสามวันฝาแฝดก็กลับบ้านแล้วค่ะ”
“ทำไมนานจังเลยครับ น่าจะกลับพรุ่งนี้เลยนะครับ”
คราวนี้ลุงชาญบ่นอุบ สามวันสำหรับพวกเขาช่างดูเนิ่นนานซะจริงๆ กับการเฝ้ารอคุณหนูตัวโตที่พวกเขาคิดถึงและไม่ได้เจอกันถึงสามปีเต็มแล้ว
“ให้เวลาฝาแฝดเก็บข้าวของและล่ำลาสาวๆ ในอเมริกาหน่อยสิ ไอ้ชาญ”
พ่อเลี้ยงธิปรกต่อว่าลูกน้องไม่จริงจังนัก เพราะรู้ว่าลูกน้องทั้งสอง ทั้งสนและชาญต่างก็คิดถึงฝาแฝดไม่ต่างจากพวกเขาซึ่งเป็นพ่อและแม่ เพราะตั้งแต่ฝาแฝดเกิดมา ก็มีลุงสนและลุงชาญนี่แหละคอยเป็นพี่เลี้ยงตามประกบฝาแฝดทั้งสองไม่มีห่าง
“ก็ผมคิดถึงคุณหนูนี่ครับ” ชาญเอ่ยบอกถึงความรู้สึกของตน
“ผมก็คิดถึงเหมือนกันครับ ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณหนูตัวโตแค่ไหนแล้ว” สนก็ไม่น้อย
หน้ากัน คิดถึงคุณหนูไม่แพ้กัน
และถึงแม้คุณหนูที่พูดถึงตอนนี้มีอายุปาไปยี่สิบหกปีแล้ว แต่อัคนีและอัคคีก็ยังเป็นคุณหนูตัวเล็กๆ ในสายตาของลุงทั้งสองอยู่เสมอ
พ่อเลี้ยงธิปรกหัวเราะเบาๆ กับคำพูดในตอนท้ายของสน ก่อนจะเอ่ยบอกกลั้วเสียงหัวเราะ
“โตไม่มากเท่าไรหรอก ก็แค่เวลายืนคุยกันต้องแหงนหน้ามองเจ้าฝาแฝดก็เท่านั้นเอง”
“ทนอีกนิดหนึ่งก็แล้วกัน เดี๋ยวก็ได้เจอคุณหนูแล้วจ้ะ”
แม่เลี้ยงรดาเอ่ยยิ้มๆ นึกขำในทุกครั้งที่ลุงสนและลุงชาญมักจะเรียกอัคนีและอัคคีว่า ‘คุณหนู’
“คุณหนูจะกลับบ้านจริงหรือครับ ผมกลัวว่าคุณหนูจะหลงแสงสีเสียงในเมืองนอกแล้วไม่ยอมกลับบ้านป่าบ้านดอย” ชาญเต็มไปด้วยความกังวลอดคิดเช่นนั้นไม่ได้
พ่อเลี้ยงธิปรกส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่หรอกน่าไอ้ชาญ เพลิงและไฟไม่เคยรักที่ไหนเท่ากับประเทศไทยและที่บ้านป่าแห่งนี้ของพวกเขา ทุกคนก็รู้ดีว่าฝาแฝดทั้งสองรักบ้านมากเพียงใด แต่ที่พวกเขายังไม่กลับบ้านก็เพราะยังสนุกกับการใช้ชีวิตในต่างแดน”
“แต่ตอนนี้ไม่น่าจะสนุกแล้ว หลังจากเจ้าไฟรู้ว่าลุงหมอจะขายฟาร์ม รายนี้รักม้าเป็นชีวิตจิตใจ ยิ่งรู้ว่าลุงหมอจะขายทั้งฟาร์มทั้งม้าให้ ก็ยิ่งอยากกลับประเทศไทย”
แม่เลี้ยงรดาเอ่ยถึงจุดอ่อนของฝาแฝดคนเล็ก ที่รักเจ้าอาชาไนยมากจนสามารถคลุกอยู่แต่ในคอกม้าได้ทั้งวัน
“ส่วนเจ้าเพลิง ป่านนี้คงนั่งไม่ติดเก้าอี้ ตูดร้อนเป็นไฟแล้วหลังจากแม่เลี้ยงบอกว่ามีเศรษฐีมาสู่ขอหมามุ่ยให้กับลูกชายของเขา”
พ่อเลี้ยงธิปรกเอ่ยเสริมท้าย พลางหัวเราะร่วนเมื่อนึกถึงคำโวยวายของอัคนี ที่ไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่ามีคนมาสู่ขอธีราดา
“ตอนนี้คงกำลังวุ่ยวายอยู่กับการจองตั๋วเครื่องบินและจัดกระเป๋าเดินทางแน่
นอนค่ะ” แม่เลี้ยงรดาหัวเราะร่วนไม่แพ้ผู้เป็นสามี ไม้เด็ดที่งัดมาเล่นงานลูกชายฝาแฝดทั้งสองได้ผลชะงักจริงๆ
“เอ่อ...แล้วแม่เลี้ยงจะยกหมามุ่ยให้ลูกชายของเถ้าแก่ประจงจริงไหมครับ”
สนเอ่ยถาม ในใจนั้นไม่อยากให้แม่เลี้ยงยกธีราดาให้กับใคร เพราะเขารู้ว่าธีราดาปักใจรักที่อัคนีแค่เพียงคนเดียว
“ไม่หรอกจ้ะ ฉันก็แค่ขู่ให้เจ้าเพลิงรีบกลับบ้าน เพราะรู้ว่าเพลิงรักหมามุ่ยมาก และหมามุ่ยเองก็รักเพลิงเหมือนกัน”
“ค่อยยังชั่วหน่อย ผมนึกว่าแม่เลี้ยงจะหักหาญน้ำใจยายหมามุ่ยของผมซะแล้ว”
ชาญเป่าปากอย่างโล่งอก เขารักและเอ็นดูธีราดาไม่ต่างจากเป็นลูกของตนเอง และแน่นอนว่าเขานี่แหละเป็นคนตั้งชื่อเล่นให้กับธีราดาในวันแรกเกิดว่า ‘หมามุ่ย’
“ว่าแต่มีใครเห็นไอ้รามบ้างไหม หรือว่ามันไปรับหมามุ่ยกลับบ้าน” พ่อเลี้ยง
ธิปรกเอ่ยถามลูกน้องทั้งสอง
“ใช่ครับ พี่รามไปรับหมามุ่ยกลับบ้านครับ” สนเป็นคนเอ่ยบอก
หลังจากเรียนจบในระดับปริญญาตรีแล้ว ธีราดาก็ทำงานให้กับพ่อเลี้ยงธิปรกและแม่เลี้ยงรดา โดยธีราดามีหน้าที่คอยประสานงานติดต่อกับลูกค้า และหญิงสาวต้องไปทำงานในออฟฟิศของฟาร์มที่อยู่ในตัวเมือง ซึ่งรามกับอักษราภัคผู้เป็นบิดามารดาของหญิงสาวมักจะผลัดกันไปรับไปส่งในทุกวัน หากวันใดทั้งสองไม่ว่างไปรับ ก็จะมีลุงชาญหรือไม่ก็ลุงสนที่ไปรับหลานสาวคนนี้กลับฟาร์ม
สนเอ่ยบอกไม่ทันขาดคำ ทุกคนในห้องนั่งเล่นก็ได้ยินเสียงรถยนต์แล่นมาจอดหน้าบ้าน และไม่กี่นาทีต่อมาก็เห็นร่างใหญ่ของรามเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับลูกสาวด้วย
“เพิ่งบ่นถึงอยู่หลัดๆ ก็โผล่หน้ามาให้เห็นทันทีเลยนะ ไอ้ราม”
พ่อเลี้ยงธิปรกสัพยอกลูกน้องคนสนิท พลางพยักหน้ารับไหว้เมื่อธีราดาได้ยกมือไหว้ตนด้วยกริยาอ่อนน้อม
“คิดถึงผมหรือครับ พ่อเลี้ยง ถึงบ่นหาผมไม่มีหยุด”
รามแซวกลับคืนพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงรดา พอมองเห็นคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิททั้งลูกน้องของตนนั่งอยู่ใกล้ๆ พ่อเลี้ยงธิปรก ก็เอ่ยแขวะทั้งสองบ้าง
“ไอ้ชาญ ไอ้สน พวกมึงก็คิดถึงกูเหมือนกันหรือ ถึงได้มาดักรออยู่ที่บ้านของพ่อเลี้ยง”
“คิดถึงกะผีนะสิ”
ชาญเอ่ยตอบอย่างยียวน ทำเอารามแทบสำลักหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยบอกเหตุผลอันสุดแสนสำคัญไปว่า
“พวกผมมาฟังข่าวตอนที่แม่เลี้ยงคุยโทรศัพท์กับคุณไฟและคุณเพลิงต่างหากล่ะ”
“คุณหนูทั้งสองจะกลับบ้านแล้วหรือครับ”