บทที่ 1-2 สิงศพคืนชีพ
"ซื่อจื่อ ไม่ดื่มหน่อยหรือ"
เสียงของแม่ทัพใหญ่จางทำให้เซียวจิ้งหลุดพ้นจากภวังค์ ก่อนจะหันมายิ้มน้อยๆ
"ไม่ล่ะ ข้าต้องเฝ้าดูสถานการณ์ อีกอย่างข้าไม่ค่อยอยากดื่มเท่าไหร่"
แม่ทัพใหญ่จางพยักหน้า พลางกล่าวขึ้นมา
"ซื่อจื่อ หากท่านกลับไปเมืองหลวงครานี้ คงต้องแต่งงานกับเหมี่ยวเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าท่านไม่เต็มใจ แต่สมรสพระราชทานย่อมมิอาจยกเลิกได้ หากท่านไม่รักนาง ก็ช่วยดีต่อนางได้หรือไม่ ข้ามีบุตรสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น"
เซียวจิ้งมองแม่ทัพใหญ่จางก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และตอบรับคำ
"ข้ารับปาก ข้าจะพยายาม"
แม่ทัพใหญ่จางที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
"เวลานี้เฉวียนเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บเพิ่งจะฟื้นตัว กลับไปเมืองหลวงข้าจะหาหมอเก่งๆ มารักษาเขา"
"ข้าจะให้เสด็จลุงส่งหมอหลวงไปรักษาเขา อย่างไรเขาก็เป็นสหายของข้า"
"ขอบคุณซื่อจื่อยิ่งนัก"
เซียวจิ้งพยักหน้าและขอตัวจากมา จางเฉวียนเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่จาง อีกทั้งยังเป็นสหายร่วมเรียนกับเขาตั้งแต่วัยเยาว์จึงสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง
ชะตาสวรรค์กำหนดมาเช่นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่อยากฝืนลิขิตสวรรค์
เขาและสหายแดนไกลผู้นั้นคงมีวาสนาเพียงได้พบแต่ไม่ได้ครองคู่กัน
สวรรค์ช่างใจร้ายนัก หากไร้วาสนาได้เคียงคู่เหตุใดจะต้องสร้างวาสนาให้ได้พบเจอกันด้วยเล่า
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ในภวังค์ สวีเฉิน องค์รักษ์คนสนิทก็เข้ามา เซียวจิ้งหันมามองสวีเฉิน เอ่ยปากขึ้นมา
"ได้ความว่าอย่างไรบ้าง"
สวีเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนจะตอบ
"ยามนี้ฉู่อี้เฉินขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นซ่งแล้ว และ เอ่อ นางตายแล้วขอรับ คนของเรารายงานว่านางฆ่าตัวตาย คนตระกูลเจี่ยงถูกสังหารทิ้งทั้งหมด คาดว่าคงหมดประโยชน์แล้ว ศพของคนตระกูลเจี่ยงถูกโยนออกมานอกเมืองหลวงแคว้นซ่งอย่างไร้ค่า คนของเราแอบนำร่างของนางกลับมาได้เพียงคนเดียว ที่เหลือจำต้องหาที่ฝังอย่างเร่งด่วนไปก่อน ไม่ทราบว่าซื่อจื่อ..."
"พาข้าไป"
เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว สวีเฉินรีบนำทางเจ้านายตนไปทันที
เซียวจิ้งออกมานอกค่ายทหาร ที่บริเวณนี้อยู่ไม่ห่างจากชายแดนแคว้นฟงหลิงเท่าใดนัก เมื่อเขามาถึงก็พบกับร่างไร้วิญญาณของเจี่ยงหร่านที่นอนอยู่ บนลำคอของนางมีปิ่นเล่มหนึ่งปักอยู่ ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ
เซียวจิ้งมองนางอย่างไม่ละสายตา ก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปที่ศพของหญิงสาวแล้วจึงทรุดตัวลงนั่ง แล้วยื่นมือเข้าไปประคองร่างไร้วิญญาณของนางขึ้นมากอดเอาไว้ ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นน้อยๆ
"ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วมิใช่หรือ แต่เจ้ากลับดื้อรั้นไม่เชื่อข้า เจี่ยงหร่าน เจ้ามันดื้อนัก"
เอ่ยจบเขาก็ร้องไห้ออกมา สวีเฉินมองดูเจ้านายของตนก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจ้านายของเขารักสตรีผู้นี้อย่างสุดหัวใจ ทั้งที่รู้ว่านางเป็นศัตรู ทั้งที่นางยิงธนูใส่ ทั้งที่นางเป็นของผู้อื่น จนกระทั่งวันที่นางตาย เจ้านายก็ปล่อยวางไม่ลง ทั้งที่นางก็ไม่ใช่สตรีที่งดงาม นิสัยแข็งกระด้าง หากเทียบกันแล้วคุณหนูจางเหมี่ยวลี่ยังงดงามยิ่งกว่านางเสียอีก
แต่เจ้านายของเขากลับหลงรักสตรีที่มิได้เพียบพร้อมเช่นเจียงหร่านจนหมดหัวใจไปเสียได้
เซียวจิ้งยื่นมือไปดึงปิ่นปักผมออกมาจากลำคอของนาง แล้วบอกกับสวีเฉินว่า
"ฝังนางไว้ใกล้แม่น้ำ นางชื่นชอบแม่น้ำเป็นที่สุด ไม่ไกลจากตรงนี้มีแม่น้ำสายหนึ่ง ริมแม่น้ำมีต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่นเย็นสบาย ข้าจะพานางไปที่นั่น"
สวีเฉินพยักหน้า ก่อนจะมองดูเซียวจิ้งอุ้มร่างไร้วิญญาณของเจียงหร่านเดินจากไป
เซียวจิ้งจัดการฝังศพของเจี่ยงหร่านเอาไว้ใต้ต้นไม่ใหญ่ริมแม่น้ำ ที่นี่มีสายลมพัดผ่านเป็นสถานที่สวยงามที่สุดในชายแดน ก่อนจากเขายังตัดเส้นผมของนางออกมาเล็กน้อยและล้างเก็บปิ่นเล่มที่นางใช้สังหารตนเองติดกายกลับมาด้วย
หลายวันต่อมา ภายในกองทัพกำลังจัดการเตรียมพร้อมเดินทางกลับเมืองหลวง ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังเดินทางมาได้ไม่กี่ร้อยลี้ ก็มีม้าเร็วที่วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า เป็นคนของเมืองหลวง เซียวจิ้งจ้องมองทหารผู้นั้น ก่อนจะถามขึ้น
"มีเรื่องใดหรือ เหตุใดจึงมาขวางทางเดินทัพ"
คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีเท่าใดนัก
"เรียนเซียวซื่อจื่อ ท่านแม่ทัพใหญ่จาง คือว่าที่จวนตระกูลจางให้ข้าน้อยมาแจ้งท่านแม่ทัพใหญ่ว่า ยามนี้คุณหนูจางเกิดล้มป่วยใกล้จะประคองชีวิตไม่ไหวแล้ว จางฮูหยินต้องการให้ท่านแม่ทัพและเซียวซื่อจื่อรีบกลับเมืองหลวงโดยด่วนขอรับ"
เซียวจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะหันไปมองแม่ทัพใหญ่จางที่ตอนนี้นิ่งเงียบราวกับคนตายไปแล้ว ส่วนจางเฉวียนที่นอนเจ็บอยู่ในรถม้าเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกจนหน้าซีดเผือด
"ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ"
ทหารผู้นั้นเอ่ยเรียกแม่ทัพใหญ่จางด้วยน้ำเสียงที่หวาดหวั่น แม่ทัพใหญ่จางราวได้สติกลับคืนมา เขาไม่เอ่ยสิ่งใดก็ควบม้ามุ่งหน้าออกไปทันที เซียวจิ้งที่เห็นเช่นนั้นก็สั่งให้คนเร่งเดินทางติดตามไปโดยด่วน
การเดินทางครั้งนี้ได้หยุดพักเท่าที่จำเป็น เป็นการเดินทางที่เร่งรีบมาก จวบจนผ่านมาร่วมสิบวันก็เดินทางถึงเมืองหลวง
ด้านจางฮูหยินนั้น ในยามนี้กำลังให้ท่านหมอช่วยดูอาการของจางเหมี่ยวลี่ เมื่อหลายวันก่อนชีพจรของนางอ่อนแรงยิ่งนัก มีลมหายใจแผ่วเบาราวกับคนยังไม่ตายแต่กลับไม่ฟื้นขึ้นมา ราวกับว่านางกำลังหลับใหลไม่ยอมตื่น
"ฮูหยิน ท่านแม่ทัพมาถึงแล้วขอรับ"
เมื่อได้ทราบว่าสามีกลับมาแล้ว จางฮูหยินก็ยินดียิ่งนัก แม่ทัพใหญ่รีบสั่งให้คนพาจางเฉวียนไปพักผ่อนและให้ท่านหมอมาดูอาการ ส่วนตนก็รีบมาดูบุตรสาว เมื่อเห็นว่าจางเหมี่ยวลี่ใบหน้าซีดเผือด อีกทั้งยังอาการไม่สู้ดี เขาก็ยิ่งร้อนใจหันมากล่าวตำหนิกับภรรยา
"เราไม่น่าตามใจให้นางดื่ม เอ่อ ดื่มของเสียพวกนั้นเลย"
จางฮูหยินไม่รู้จะกล่าววาจาใด ในขณะที่สองสามีภรรยากำลังคิดไม่ตก ก็ได้ยินหมอหลวงแจ้งว่า จางเหมี่ยวลี่สิ้นใจแล้ว
แม่ทัพใหญ่และจางฮูหยินถึงกับทรุดลงไปกองที่พื้นก่อนจะร้องไห้โฮออกมา ด้านจางเฉวียนที่ได้ยินว่าน้องสาวตายแล้ว ก็ไม่ยอมดื่มยาเอาแต่ร้องไห้กับการจากไปอย่างกะทันหันของน้องสาว
งานศพของจางเหมี่ยวลี่ถูกจัดขึ้นในช่วงค่ำของวันนั้น ทั่วทั้งจวนตระกูลจางต่างประดับประดาไปด้วยผ้าสีขาวดำทุกคนในจวนล้วนแต่โศกเศร้า
เซียวจิ้งเองในฐานะคู่หมั้นของนางย่อมต้องมาเแสดงความเสียใจ เขามองโลงศพของนางแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
ชีวิตเขานี่มันบัดซบไม่น้อยเลย สตรีที่รักเพิ่งตายจากไป สตรีที่จะต้องแต่งเป็นภรรยาก็ยังมาสิ้นใจไปอีกคน
หรือว่าชะตาชีวิตของเขาจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
เซียวจิ้งเดินเข้ามาทักทายแม่ทัพใหญ่และจางฮูหยิน ก่อนจะเข้าไปเยี่ยมจางเฉวียนและเดินออกมาไหว้ศพของจางเหมี่ยวลี่ ในขณะที่ทุกคนกำลังโศกเศร้าอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังมากจากโลงศพที่วางอยู่เบื้องหน้า
"นั่นมันเสียงอะไร"
จางฮูหยินอุทานขึ้นมาพร้อมกับหันมามองสามี แม่ทัพใหญ่จางเองก็ได้ยินเช่นกัน เซียวจิ้งมองไปโดยรอบก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่โลงศพของจางเหมี่ยวลี่ แล้วกล่าวขึ้นว่า
"เสียงเหมือนดังมาจากโลงศพของเหมี่ยวลี่"
ตึงตึงตึง
เจี่ยงหร่านลืมตาโพลง เดิมทีนางคิดว่าตนเองตายไปแล้ว แต่เมื่อฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในโลงศพ
อันใดกันนี่ ฉู่อี้เฉินเอานางมาฝังหรือ เป็นไปไม่ได้ คนสารเลวเช่นนั้นหรือจะมีเมตตา มอบโลงศพให้เป็นบ้านหลังสุดท้ายให้นาง
เจี่ยงหร่านรู้สึกหายใจไม่ออก นางยกมือขึ้นทุบๆ ตีๆ ไปทั่วทั้งโลงศพ จนกระทั่งพยายามใช้แรงที่มีทั้งหมดกระแทกแรงๆ โลงศพก็พลันเอียงกระเร่เท่ก่อนจะพลิกคว่ำลงมาที่พื้น ฝาโลงเปิดออกร่างของนางกระเด็นกลิ้งออกมาด้านนอกโลงศพ ดวงตาคู่สวยจ้องมองผู้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความมึนงงสงสัย
บรรดาคนทั้งหมดมองนางด้วยความแตกตื่นตกใจ มีคนไม่น้อยที่วิ่งหนีกลับบ้านไปแล้ว
มารดามันเถอะ นางเล่นมนต์ดำเสียจนกลายเป็นวิญญาณร้ายไปเสียแล้ว!
เสียงผู้คนเอะอะกันเซ็งแซ่พร้อมกับมองมาที่นางด้วยแววตาประหวั่นพรั่นพรึง เจี่ยงหร่านขมวดคิ้วนางก้มมองดูเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่ ดูงดงามราคาแพงซึ่งนางไม่ชอบสวมอาภรณ์เช่นนี้เท่าใดนัก ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
‘ให้ตายเถอะผู้ใดเปลี่ยนชุดงดงามเช่นนี้ให้นางกันนะ
‘อ้าว อะไรกันนี่ วิ่งหนีข้าทำไมกัน กลับมาช่วยประคองข้าก่อน ให้ตายเถิดปวดหลังจะตายอยู่แล้ว!’
ในขณะที่นางกำลังเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดนั้น ก็มีชายหญิงวัยกลางคนวิ่งเข้ามาหานาง
"เหมี่ยวลี่ลูกพ่อ เจ้าฟื้นแล้ว!"
"ลูกแม่ เจ้าไม่ตายแล้ว ฮือ"
เจี่ยงหร่านงุนงงไปหมด มองไปโดยรอบรู้สึกว่าไม่คุ้นตาเอาเสียเลย นางกวาดสายตาไปทั่วทุกแห่ง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ใบหน้าของบุรุษใบหน้าหล่อเหล่าที่แสนคุ้นตาผู้หนึ่งซึ่งกำลังมองมาที่นางด้วยความสงสัย
นั่นมัน!
สหายแดนไกลผู้นั้นของนางใช่หรือไม่
‘เซียวจิ้ง’