บทที่8 ตัดขาด
เซวี่ยฟังเฟยยืนดวงตาแดงก่ำอยู่กลางโถงรับรองเรือนหลักนางชี้หน้าหยางจิ่งเทียนด้วยนิ้วอันสั่นเทา
"เจ้าคนใจดำหยางจิ่งเทียนบุตรสาวของเจ้านอนตายอยู่กลางลานแต่เจ้าไม่คิดจะไปดูดำดูดีนางสักนิด จิตใจของเจ้าทำด้วยอะไรเจ้าไม่เคยไยดีเราแม่ลูกข้าไม่เคยต่อว่าเจ้าเลยสักครั้ง แต่นี่พวกเจ้าถึงกับคิดฆ่านางพวกเจ้ามันอำมหิตเดรัจฉานมาเกิด "
"เจ้า"
หยางจิ่งเทียนลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธเขา ไม่เคยเห็นเซวี่ยฟังเฟยเอ่ยคำหยาบด่าทอเช่นนี้มาก่อน แต่ก่อนนางเป็นคนอ่อนหวานไม่เคยพูดจาหยาบคายแม้จะถูกต่อว่าก็ไม่เคยเถียงสักครั้งทำเพียงก้มหน้ารับไม่เคยมีปากเสียงกับผู้ใด
ก่อนแต่งงานหยางจิ่งเทียนเป็นแค่เพียงรองแม่ทัพเล็กๆ เท่านั้น ส่วนเซวี่ยฟังเฟยเป็นถึงบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินเอกของอัครเสนาบดี ทั้งที่นางสามารถแต่งเข้าวังหลังได้ เเต่นางกลับเลือกเขาเพียงเพราะนางตกหลุมรักรองแม่ทัพหนุ่มแรกพบ ดังนั้นนางจึงไม่ยอมเข้าคัดเลือกสนมในวังทำให้อัครเสนาบดีเซวี่ยไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่นั้นมานางจึงเลิกติดต่อบ้านเดิมไม่ไปมาหาสู่อีกต่อไป นายท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าหยางนั้นรักและเมตตาเซวี่ยฟังเฟยมากเพราะนางเอาใจใส่ดูแลทั้งสองคนเป็นอย่างดีเรื่องเรือนหลังไม่เคยมีปัญหานางล้วนมีเมตตากับบ่าวไพร่
หลังจากหยางจิ่งเทียนแต่งเซวี่ยฟังเฟยได้เพียงหนึ่งเดือนเขาก็ต้องออกเดินทางไปจัดการสัตว์อสูรที่เข้ามาอาละวาดที่ชายแดนตามราชโองการของฮ่องเต้ ผ่านไปสามเดือนเมื่อหยางจิ่งเทียนกลับมาก็ได้พา มู่เซี่ยอี่กลับมาด้วยและแต่งให้นางเข้ามาเป็นภรรยารอง เซวี่ยฟังเฟยไม่เคยห้ามหรือโกรธเคืองเมื่อหยางจิ่งเทียนแต่งอนุเข้าจวนเพราะนางเข้าใจดีของการมีสามภรรยาสี่อนุ
นางได้เเต่ยิ้มรับอย่างขมขื่นอยู่ในใจเพราะนางรักเขามาก จนกระทั่งหยางซินเยว่เจ็ดขวบ นางเข้ารับการทดสอบแล้วพบว่าไร้พลังปราณนั่นยิ่งทำให้เขาหมางเมินต่อนางมากกว่าเดิม
ก่อนวันที่นายท่านผู้เฒ่าหยางจะจากไปได้มอบแหวนหยกที่สลักตัวอักษรหยางไว้ด้านในให้กับเซวี่ยฟังเฟย นายท่านผู้เฒ่าบอกว่าแหวนวงนี้ตกทอดมาในตระกูลหยางให้นางเก็บไว้ให้ซินเยว่
"ท่านแม่!!!!”
เซวี่ยฟังเฟยหันมองตามเสียงเรียกของบุตรสาว ราวกับสวรรค์บันดาลน้ำทิพย์มาชโลมหัวใจของนาง
"เยว่เอ๋อของแม่เจ้ายังไม่ตายขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณจริงๆ"
นางร้องไห้ด้วยความดีใจ ฮุ่ยหลิงพยุงร่างซินเยว่ที่อาบไปด้วยเลือดเดินเข้ามาในห้องโถง ซินเยว่มองไปรอบๆ นางค่อยๆ มองพวกเขาทีละคนเริ่มจากมู่เซี่ยอี่ฮูหยินรอง บุตรสาวของนางหยางหลันฮวา และบุตรชายหยางซีซวน อนุสามเหยียนเหมยฟาง อนุสี่หลิวอี้หลิน แล้วสายตาซินเยว่ก็มาหยุดที่หยางหลันฮวา
"น้องรองคงเสียใจที่ข้ายังไม่ตาย"
ซินเยว่มองนางด้วยสาวตาเย็นเยียบจนยากจะอ่านออก หยาง หลันฮวาถลึงตาใส่นาง "สวะอย่างเจ้ากล้าจ้องหน้าข้าตั้งแต่เมื่อใด ก่อนหน้านี้ข้าคงตีเจ้าเบาเกินไปสินะ"
ก่อนที่หยางหลันฮวาจะพูดอะไรออกไปอีกมู่เซี่ยอี่ก็รีบดึงมือนางเอาไว้และส่งสายตาเตือนให้นางเงียบ
"ข้าบาดเจ็บสาหัสสองครั้งในรอบหนึ่งเดือนโดยฝีมือหยางหลัน ฮวา แต่นางไม่เคยถูกลงโทษเลยสักครั้ง บ่าวไพร่ในเรื่องไม่เคยเคารพ หรือมองว่าท่านแม่เป็นฮูหยินใหญ่ของจวนสกุลหยาง ข้าวต้มที่ใสจนเห็นก้นถ้วยถ้าหากไม่ทำงานก็อย่าหวังว่าพวกข้าจะได้กิน หลายปีมานี้ช่างลำบากเหลือเกินก่อนมาที่นี่หยางหลันฮวาทำร้ายข้าเกือบตายแต่พวกท่านกลับทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ท่านแม่ข้ากลัวเหลือเกินกลัวว่าครั้งหน้าลูกคนนี้มิอาจฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว"
พูดจบซินเยว่ก็ก้มหน้าแสร้งตัวสั่นร้องไห้เบาๆ เซวี่ยฟังเฟยเมื่อเห็นซินเยว่ร้องไห้นางก็รีบเข้าไปกอดปลอบบุตรสาว จากนั้นจึงหันมาหาหยางจิ่งเทียนดวงตาของนางวาวโรจน์ดั่งเช่นราชสีห์หวงถิ่น เซวี่ยฟังเฟยได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดตั้งแต่นางเห็นร่างโชกเลือดของ ซินเยว่นอนหายใจรวยริน ระหว่างนางกับหยางจิ่งเทียนได้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
"ข้าต้องการหย่าแล้วออกไปจากที่นี่ข้าจะพาเยว่เอ๋อกับฮุ่ยหลิงไปด้วย ข้าอยากให้ท่านเขียนหนังสือตัดขาดเราสองแม่ลูกต่อไปภายหน้าไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก "
"เจ้า"
หยางจิ่งเทียนไม่คิดว่านางจะกล้าเอ่ยตัดขาดกับเขา
"ชักจะกำแหงเกินไปแล้ว"
หยางจิ่งเทียนใช้พลังปราณตบโต๊ะไม้เนื้อดีจนแตกกระจุย
"หยางจิ่งเที่ยนเจ้าไม่เขียนหนังสือหย่าให้ข้าไม่เป็นไรแต่ต่อจากนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะอยู่ในจวนตระกูลหยางได้อย่างสงบสุข สิ่งที่เจ้ากับบุตรสาวสุดที่รักของเจ้าทำกับข้าแม่ลูกมาตลอดหลายปีข้าจะเอาคืนให้หมด คนทั้งเมืองหลวงจะต้องได้รับรู้เรื่องเน่าเฟะของนางดูซิว่าถ้านางเสื่อมเสียชื่อเสียงยังจะมีคนอยากแต่งให้นางอีกหรือไม่"
หยางหลันฮวาลุกขึ้นทันทีเมื่อเซวี่ยฟังเฟยเอ่ยถึงนาง
"ท่านพ่อไม่ได้นะข้า..."
“หุบปาก”
ยังไม่ทันที่หยางหลันฮว่าจะพูดจบหยางจิ่งเทียนก็ตะคอกนางเสียงดัง
"เซวี่ยฟังเฟยเจ้าคิดจะขู่ข้าหรือ"
“หึ แล้วแต่เจ้าจะคิด”
ซินเยว่ยืนมองงิ้วโรงนี้อยู่เงียบๆ โดยไม่เอ่ยปากสักคำ
"ฟ่งหยวนเอากระดาษพู่กันมาข้าจะเขียนหนังสือตัดขาดให้พวกนาง"
หยางจิ่งเทียนตะโกนสั่งพ่อบ้านด้วยความโกรธ ฟ่งหยวนรีบนำกระดาษพู่กันและหมึกมาให้หยางจิ่งเทียนอย่างรวดเร็วเพราะหวาดกลัวในโทสะของเขา
หยางจิ่งเทียนเขียนหนังสือหย่าให้เซวี่ยฟังเฟยและหนังสือตัดขาดจากหยางซินเยว่ทั้งสองฝ่ายลงชื่อประทับลายนิ้วมือเป็นอันเสร็จสิ้น
"เจ้าอย่าหวังว่าจะได้อะไรไปจากข้า"
หยางจิ่งเทียนเอ่ยขึ้นเมื่อเซวี่ยฟังเฟยซินเยว่เเละฮุ่ยหลิงกำลังจะเดินออกไปจากโถงรับรอง นางเเค่นเสียงหึ!ออกมาทีหนึ่งแล้วเดินจากไป
ทั้งสามคนไม่เอาอะไรติดตัวมาเลยพวกนางเดินออกจากจวนไปแค่เสื้อผ้าติดตัว ซินเยว่หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูด้านนอกจวนหันหน้าไปทางห้องโถงรับรองเรือนหลัก ก้มคำนับสามทีให้แก่ชายผู้ให้กำเนิดร่างนี้
ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาต่างซุบซิบนินทาพวกนางและตระกูล หยางแต่นางมิได้สนใจ เดินมุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงทันที
ลมพัดบางเบาเรื่อยเฉื่อยหอบเอากลิ่นดินกลิ่นหญ้าพัดโชยมาเข้าจมูกนำพาให้สดชื่นยิ่งนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ซินเยว่ออกจากจวนแม่ทัพหยางในตอนกลางวัน นางทำท่าสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ เพราะรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งเป็นอย่างมาก
"ท่านแม่ท่านหิวหรือไม่อดทนอีกนิดนะเจ้าคะ"
ซินเยว่ถามเซวี่ยฟังเฟยด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นไรแค่นี้แม่ทนได้ แล้วเจ้าทั้งสองคนเล่าหิวหรือไม่"
เซวี่ยฟังเฟยถามซินเยว่และฮุ่ยหลิง ทั้งสองคนส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกัน หลังจากที่ออกมาจากจวนตระกูลหยางได้สักพัก ตลอดทางที่พวกนางเดินมาเซวี่ยฟังเฟยเอาแต่เงียบอยู่อย่างนั้นซินเยว่ห่วงความรู้สึกของมารดาของนางอยู่ไม่น้อยที่นางต้องหย่าขาดกับสามีที่อยู่กันมาสิบกว่าปี
ตอนนี้ทั้งสามคนเดินออกจากเส้นทางสายหลักมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าด้านนอกที่ติดกับภูเขาไม่ห่างจากเมืองหลวงเท่าใดนัก
"ท่านแม่ข้าว่าเราหาที่พักแถวนี้ไปก่อนดีหรือไม่หากว่าเราเข้าป่าไปลึกมากกว่านี้อาจเจอกับอันตรายจากสัตว์อสูรได้นะเจ้าคะ
เซวี่ยฟังเฟยมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังเมื่อซินเยว่พูดถึงสัตว์อสูร
"ได้ๆ เยว่เอ๋อว่าดีแม่ก็ว่าดี"
เดินเข้าป่ามาได้สักพักก็เจอเข้ากับลานหินที่ด้านหน้าเป็นน้ำตกเล็กๆ ซินเยว่จึงตัดสินใจพักที่นี่คืนนี้นางหันไปบอกมารดา
"ท่านแม่วันนี้เราพักที่ริมน้ำตกนี่กันไปก่อนที่นี่สวยมากเลยทีเดียว"
ซินเยว่รู้สึกชอบที่นี่แต่อยู่ใกล้เมืองหลวงเกินไปอาจไม่ปลอดภัยสำหรับพวกนางนัก ซินเยว่มองมารดาที่ดูสดชื่นขึ้นมามากกว่าเดิมเล็กน้อย
"ท่านแม่ท่านมีพลังปราณขั้นไหนเจ้าคะ
เซวี่ยฟังเฟยแบมือจากนั้นมีแสงสีส้มปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือของนาง คนที่แผ่นดิน'ชิงหลิว'นี้ถ้าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ขุนนางในราชสำนัก หรือตระกูลใหญ่ ก็ยากนักที่จะสามารถพัฒนาพลังปราณให้เลื่อนระดับขั้นไปมากกว่าสีแดงเพราะคนธรรมดาไม่มีเงินและทรัพยากรในการซื้อหายาลูกกลอนเพิ่มพลังปราณ ยาลูกกลอนเพิ่มพลังปราณหนึ่งเม็ดราคาหลายพันตำลึง ยิ่งพลังปราณสูงมากเท่าใดการเลือนระดับยิ่งเป็นไปได้ยากเท่านั้น
นักปรุงโอสถที่จะสามารถปรุงยาลูกกลอนเพิ่มพลังปราณออกมาให้ความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วนในแผ่นดินนี้ยังไม่เคยมีใครพบ มีเพียงคนของสำนักแพทย์โอสถเท่านั้นที่สามารถปรุงยาออกมาได้ดี แต่ความบริสุทธิ์นั้นมีเพียงหกส่วนเท่านั้น และนักปรุงโอสถที่อยู่ในแผ่นดินชิวหลิงส่วนมากเป็นคนของสำนักแพทย์ที่ไม่ขึ้นตรงกับแคว้นใด
พวกเขาเป็นขุมกำลังที่มีอำนาจแม้กระทั่งฮ่องเต้ยังต้องให้ความเกรงใจถึงเจ็ดส่วน ใครที่สามารถเข้าสำนักแพทย์โอสถได้จะถูกยกย่องว่าเป็นผู้มีความสามารถ ในแต่ละแคว้นจึงต้องส่งคนเข้าไปสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสำนักแพทย์โอสถเพื่อผลประโยชน์ของแคว้นตน
"บรรยากาศที่นี่ดียิ่งนักเจ้าค่ะ"
ฮุ่ยหลิงนั่งเเช่เท้าที่ริมลำธารห่างจากน้ำตกเล็กน้อยเอ่ยขึ้น ซินเยว่ยิ้มให้กับท่าทางมีความสุขของนาง หลังจากสำรวจบริเวณรอบๆ น้ำตกนางได้เซียงเจียวสุก (กล้วย) และผิงกั่วป่า (แอปเปิล) มาสามสี่ลูก
"ท่านแม่ข้าว่าจะพักที่นี่สามสี่วันแล้วค่อยออกเดินท่างท่านคิดเห็นอย่างไร"
ซินเยว่ปรึกษามารดาเพื่อวางแผนการเดินทางต่อไป
"ได้สิแต่แม่ว่าเราควรมีที่พักที่ดีกว่านี้แม่กลัวว่าบริเวณนี้จะไม่ปลอดภัยจากสัตว์อสูร"
เซวี่ยฟังเฟยออกความเห็น
"เจ้าค่ะลูกก็คิดเช่นนั้น ตอนที่ลูกออกสำรวจรอบๆ บริเวณนี้ได้เจอถ้ำไม่ไกลจากที่นี่ แต่น่าแปลกมากที่ตอนแรกเรากลับมองไม่เห็น "
ซินเยว่นำทางคนทั้งสองให้ตามไปดูถ้ำที่นางเจอ หลังจากสำรวจถ้ำแล้วไม่เจอสัตว์ป่ามีพิษ พวกนางจึงตัดสินใจว่าจะพักที่นี่คืนนี้ ฮุ่ยหลิงเก็บฟืนไม้แห้งมาให้พอสำหรับก่อไฟ เพื่อบรรเทาความหนาวและไล่สัตว์มีพิษออกไป นางแบ่งกองไฟออกเป็นสามกองด้านหน้าถ้ำเผื่อว่าจะมีสัตว์อสูรผ่านมาแม้มันจะช่วยได้ไม่มากนักก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถให้ความสว่างแก่พวกนางในยามค่ำคืน